ทัวร์ขับรถเที่ยวเองฤดูร้อน 10 วันรอบถนนวงแหวนพร้อมสัมผัสพื้นที่ไฮแลนด์ในตอนกลางของประเทศ

ยินดีต้อนรับสู่การผจญช่วงหน้าร้อนในไอซ์แลนด์!

วันนี้คุณจะลงเครื่องที่สนามบินนานาชาติเคฟลาวิกซึ่งอยู่บนคาบสมุทรเรคยาเนส (Reykjanes)​ ที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟ หลังจากเครื่องลงจอด คุณจะไปยังจุดบริการของบริษัทรถเช่าเพื่อรับรถที่จะใช้เป็นพาหนะสำหรับการเดินทางในอีก 10 วันข้างหน้า

เมื่อขึ้นรถแล้วให้คุณขับมุ่งหน้าสู่เรคยาวิก เมืองหลวงและศูนย์กลางวัฒนธรรมของไอซ์แลนด์ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ระหว่างทางคุณจะผ่านทุ่งแมกมาที่มีบรรยากาศมัวหมองและแห้งแล้งของเรคยาเนส และเมื่อมองออกไปที่ด้านหนึ่งของถนนจะเห็นเกลียวคลื่นสีครามของมหาสมุทรแอตแลนติกกำลังม้วนตัวเข้าหาฝั่งในขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นทิวทัศน์ของภูเขาอยู่ไกลลิบสุดลูกหูลูกตา

แทนที่จะขับรถตรงไปยังเรคยาวิก คุณสามารถไปแวะใช้บริการสปาความร้อนใต้พิภพบลูลากูนที่มีชื่อเสียงระดับโลกบนคาบสมุทรเรคยาเนสก่อนได้ การแช่ตัวในน้ำอุ่นสีน้ำนมเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการฟื้นฟูร่างกายหลังจากเที่ยวบินอันยาวนาน ทำเลที่ตั้งของสปาเหมาะสำหรับวันแรกของการเดินทางหากคุณมีเวลาเพียงพอ

เคฟลาวิกยังมีร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และพิพิธภัณฑ์มากมายที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชม ที่พิพิธภัณฑ์โลกไวกิ้ง คุณสามารถปีนขึ้นไปบนเรือจำลองและลองสวมหมวกและดาบไวกิ้งเพื่อถ่ายรูปสนุกๆ หรือเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ร็อคแอนด์โรลแห่งไอซ์แลนด์ ซึ่งผู้ชื่นชอบดนตรีไม่ควรพลาด

เมื่อคุณมาถึงที่พักของคุณซึ่งอยู่ในตัวเมือง คุณสามารถใช้เวลาที่เหลือของวันนี้ได้อย่างที่ต้องการ ในเมืองมีแกลเลอรี่ พิพิธภัณฑ์ นิทรรศการทางวัฒนธรรม และสวนสาธารณะให้คุณได้เพลิดเพลิน นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟและเส้นทางเดินป่าที่สวยงามอยู่รอบๆ เขตเมืองด้วย

สถานที่สำคัญที่สุดของเมือง ได้แก่ รัฐสภาอัลธิงกิ โบสถ์ฮัลล์กริมสคิร์กยา และสระน้ำทยอร์นิน สำหรับพิพิธภัณฑ์ ลองไปที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไอซ์แลนด์ หรือลองทำอะไรแปลกๆ หน่อย เช่น พิพิธภัณฑ์ลึงค์แห่งไอซ์แลนด์

หากเที่ยวบินของคุณมาถึงในช่วงบ่ายแก่ๆ หรือช่วงค่ำ คุณอาจจะไปลองชิมอาหารมื้อหรูหราสไตล์กูร์เมต์และออกไปสัมผัสความตื่นเต้นสนุกสนานของชีวิตกลางคืนที่ไอซ์แลนด์กันดูก็ได้

ในคืนแรกที่ไอซ์แลนด์คุณจะพักค้างคืนอยู่ในเมืองหลวง

คุณจะใช้เวลาวันที่สองในประเทศไอซ์แลนด์ในสถานที่ท่องเที่ยวหลัก 3 แห่งบนเส้นทางท่องเที่ยววงกลมทองคำอันเลื่องชื่อ

เริ่มจากสถานที่แรกคืออุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์ (Thingvellir) ซึ่งขับรถไปไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก สถานที่งดงามแห่งนี้ได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโกด้วย

ภายในพื้นที่อนุรักษ์นี้ นักท่องเที่ยวจะได้ชมแผ่นเปลือกโลกของทวีปอเมริกาเหนือและยูเรเชียนที่โผล่พ้นจากแผ่นดินมาให้เห็น และจะได้เห็นแหล่งน้ำธรรมชาติจากธารน้ำแข็งที่ใสราวคริสตัลในรอยแยกซิลฟรา (Silfra Fissure) นอกจากนี้ ยังมีทัวร์เสริมที่คุณสามารถเลือกเพิ่มเข้าไปในทริปวันนี้ได้ด้วย โดยคุณจะได้สวมชุดดรายสูทและหน้ากากสน็อกเกิลลงไปชมหุบเขาใต้ผืนน้ำสีฟ้า ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมดำน้ำตื้นจะต้องไม่กลัวที่จะลงไปในน้ำและต้องสามารถว่ายน้ำได้

จุดแวะแห่งที่สองของการเที่ยววงกลมทองคำคือหุบเขาพลังงานความร้อนใต้พิภพหรือทุ่งน้ำพุร้อนเฮยคาดาลูร์ (Haukadalur) ในพื้นที่แถบนี้จะมีพุก๊าซปล่อยไอพวยพุ่งปกคลุมไปทั่ว รวมถึงมีบ่อโคลนที่เดือดปุดๆ และน้ำพุร้อนชื่อดัง 2 แห่ง ได้แก่ ไกเซอร์ (Geysir) และสโทรคูร์ (Strokkur) โดยอันแรกนั้นสงบนิ่งไปแล้ว แต่อันหลังยังคงพ่นน้ำทุกๆ ประมาณห้านาที จึงเป็นที่นิยมในการถ่ายภาพมาก

จุดแวะแห่งที่สามของวันนี้คือน้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งน้ำตกของไอซ์แลนด์ ด้วยมวลน้ำที่ตกจากความสูง 105 ฟุต (32 เมตร) ผ่านหินลดหลั่นลงสองชั้นก่อนจะไหลลงสู่หุบเขาลึกที่ด้านล่าง ทำให้บางมุมมองดูราวกับมวลน้ำไหลหล่นหลุดหายออกไปจากโลกใบนี้

นักท่องเที่ยวที่ชอบความท้าทายอาจจะต้องการเวลาเพิ่มในวันนี้เพื่อสำรวจหุบเขาคัลดิดาลูร์ (Kaldidalur) ถนนคัลดิดาลสเวกูร์ (Kaldidalsvegur) ที่ตัดผ่านหุบเขาแห่งนี้ เป็นหนึ่งในเส้นทางที่สั้นที่สุดที่ผ่าเข้าไปในพื้นที่ไฮแลนด์ของไอซ์แลนด์ ทำให้เหมาะสำหรับการอุ่นเครื่องเตรียมความพร้อมก่อนที่คุณจะเดินทางลึกเข้าไปในไฮแลนด์ในวันรุ่งขึ้น

ถึงแม้ระยะทางจะสั้น แต่เส้นทางนี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่าถนนเส้นอื่นๆ ที่ตัดผ่านไฮแลนด์ ทำให้สามารถมองเห็นความงดงามของพื้นที่ไฮแลนด์ได้อย่างชัดเจน

จากบริเวณลานจอดรถของน้ำตกกุลล์ฟอสส์ คุณยังสามารถไปขี่สโนว์โมบิลบนธารน้ำแข็งลางโจกุล ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่เป็นอันดับสองของไอซ์แลนด์ได้ด้วย การขี่สโนว์โมบิลโลดแล่นอยู่บนผืนน้ำแข็งสีขาวโพลนกว้างใหญ่ไพศาลจะทำให้คุณได้ดื่มด่ำกับทัศนียภาพโดยรอบและสัมผัสกับประสบการณ์ที่สนุกตื่นเต้นจนอะดรีนาลีนสูบฉีดแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เมื่อเสร็จสิ้นจากกิจกรรมต่างๆ ในวันนี้ คุณจะขับรถไปยังที่พักในคืนนี้ซึ่งอยู่ในไอซ์แลนด์ตะวันตกเฉียงใต้ใกล้กับวงกลมทองคำ

ในวันที่สามในดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง คุณมีตัวเลือกสามแบบในการเที่ยวในไฮแลนด์ การที่พื้นที่ไฮแลนด์ในตอนกลางของไอซ์แลนด์นั้นสามารถเข้าไปได้เฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น ยิ่งทำให้ทริปนี้มีความพิเศษมากยิ่งขึ้น

ตัวเลือกแรกคือการขับรถไปที่ลานมันนาเลยการ์ (Landmannalaugar ที่แปลว่าสระน้ำของประชาชน) ด้วยตัวเอง แต่การจะเข้าพื้นที่นี้ได้คุณต้องใช้รถเช่าที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้นและผู้ขับขี่ต้องมีประสบการณ์ขับบนเส้นทางวิบากมาก่อนด้วย เพราะเส้นทางนี้ต้องมีการขับข้ามแม่น้ำด้วยทำให้ไม่เหมาะกับมือใหม่

เมื่อคุณไปถึงลานมันนาเลยการ์ คุณสามารถอาบน้ำในสระน้ำร้อนใต้พิภพธรรมชาติอันขึ้นชื่อในบริเวณนี้ได้ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการแช่น้ำอุ่นพร้อมชมทิวทัศน์ภูเขาอันตระการตารอบตัวคุณ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ากล้องของคุณพร้อมที่จะเก็บภาพความงดงามของลานมันนาเลยการ์ไว้เป็นความทรงจำอันยาวนาน

ตัวเลือกที่สอง คุณสามารถเดินทางไปลานมันนาเลยการ์ด้วยการเข้าร่วมกับทัวร์ซูเปอร์จี๊ปที่พาไปไฮกิ้งระยะสั้นๆ ในทริปเดินป่านี้คุณจะได้เห็นเนินเขาหินไรโอไลต์สีสันสดใสของลานมันนาเลยการ์ ที่มีทั้งเฉดสีน้ำเงิน ม่วง และเขียวเป็นเงาวิบวับจากเนินลาดชัน นอกจากนี้เส้นทางเดินป่าของที่นี่ยังมีความคดเคี้ยวและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม และคุณสามารถชื่นชมความงามของพื้นที่ไฮแลนด์ได้ด้วยสองเท้าของตัวเองแบบไม่ต้องพะวงเรื่องการขับรถบนเส้นทางที่ยากด้วย

ตัวเลือกที่สามคือการเข้าร่วมกับทัวร์ซูเปอร์จี๊ปเพื่อไปเดินป่าที่ธอร์สมอร์ค (Thorsmork) ซึ่งเส้นทางไฮกิ้งที่นี่เป็นสวรรค์ของนักเดินป่าเลยก็ว่าได้ และเป็นหุบเขาที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ด้วยโดยโอบล้อมด้วยธารน้ำแข็ง 3 แห่ง คุณจะไปพบกับไกด์ทัวร์ในเฮลลาร์และฮวอลสโวลลูร์ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับกิจกรรมแอดเวนเจอร์

ที่ธอร์สมอร์ค คุณจะเดินทางผ่านแม่น้ำและน้ำตกที่สวยงาม ผ่านหุบเขาและพื้นที่เขียวขจีในขณะที่ยังสามารถมองเห็นธารน้ำแข็งได้ตลอดเวลา ธอร์สมอร์กอบอุ่นและชื้นกว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในไอซ์แลนด์ และมีภูมิประเทศภูเขาสีดำและเขียวที่งดงามน่าทึ่งมาก

หลังจากผจญภัยในไฮแลนด์มาทั้งวันแล้ว คุณจะเดินทางไปยังที่พักของคุณซึ่งอยู่รอบๆ ไอซ์แลนด์ตะวันตกเฉียงใต้

วันที่สี่ของทริปนี้คุณจะไปชมสถานที่ท่องเที่ยวบนชายฝั่งทางใต้ที่งดงามของไอซ์แลนด์ ชายฝั่งทางใต้เป็นพื้นที่ที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ โดยประกอบไปด้วยแนวชายฝั่งเว้าแหว่ง น้ำตกที่ทอประกายยามต้องแสง และพื้นที่ฟาร์มเพาะปลูกอันเขียวขจี

สถานที่แรกที่คุณจะแวะในวันนี้คือน้ำตกเซลยาแลนส์ฟอสส์ (Seljalandsfoss) และน้ำตกสโกกาฟอสส์ (Skogafoss) น้ำตกทั้งสองแห่งสูง 197 ฟุต (60 เมตร) แต่มีความกว้างต่างกัน น้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสสนั้นแคบกว่ามาก และนักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปชมหลังม่านน้ำตกได้ซึ่งจะทำให้ได้ภาพถ่ายสวยๆ ในมุมมองใหม่

ถัดมาเป็นหาดทรายดำเรย์นิสฟยารา (Reynisfjara) ที่ขึ้นชื่อเรื่องคลื่นที่ถาโถมฟาดเข้ากับชายฝั่งอย่างแรง เสาหินบะซอลต์หกเหลี่ยม กรวดภูเขาไฟ และโขดทะเลที่โดดเด่นสะดุดตา คุณยังจะได้ไปเที่ยวเมืองวิก อี มิร์ดาล์ (Vik i Myrdal) ที่อยู่ติดกันด้วย เมืองนี้เหมาะสำหรับแวะรับประทานอาหารและช้อปปิ้งของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ

ใกล้กับหมู่บ้านวิกคือคาบสมุทรดิร์โอลาเอย์ (Dyrholaey) ที่ทำให้ภูมิทัศน์ของชายฝั่งทางใต้มีความน่าสนใจมากขึ้นไปอีก ซุ้มหินที่ยื่นออกไปในทะเลนี้มีรูกลวงโค้งมนและว่ากันว่ามีนักบินใจกล้าเคยพยายามขับเครื่องบินลอดมาแล้วด้วย

ในวันที่สี่นี้คุณสามารถเพิ่มสีสันให้กับทริปได้มากมาย เริ่มแรกคุณอาจจะเลือกเข้าร่วมกิจกรรมปีนธารน้ำแข็งที่เป็นประกายระยิบระยับที่โซลเฮมาโจกุล (Solheimajokull) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จะทำให้ได้เห็นวิวของชายฝั่งทางใต้แบบเต็มๆ พร้อมกับได้ชมประติมากรรมอันสลับซับซ้อน รอยแยกลึก และเนินชันบนผืนน้ำแข็งแบบใกล้ชิด

นอกจากนี้คุณยังสามารถสนุกเพลิดเพลินกับการขี่สโนว์โมบิลบนธารน้ำแข็งได้ด้วย การบิดเครื่องยนต์ไปบนน้ำแข็งเป็นวิธีที่น่าตื่นเต้นในการชื่นชมภูมิทัศน์อันกว้างใหญ่และน่าทึ่งของธารน้ำแข็ง

หรือไม่อย่างนั้นคุณอาจจะอยากจองทัวร์ไปเที่ยวถ้ำน้ำแข็งที่ภูเขาไฟคัทลา (Katla) ซึ่งภูเขาไฟลูกนี้อยู่ภายใต้ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่และเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าทำไมไอซ์แลนด์จึงถูกเรียกว่าเป็นดินแดนแห่งน้ำแข็งและไฟ

ในช่วงเย็นคุณจะเข้าพักในที่พักซึ่งอยู่รอบๆ ไอซ์แลนด์ใต้

เริ่มต้นวันที่ห้าของคุณด้วยอาหารเช้าแสนอร่อยก่อนที่จะออกไปสำรวจสถานที่ยอดนิยมในไอซ์แลนด์ตะวันออกเฉียงใต้ วันนี้คุณจะได้เยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล (Vatnajokull) ที่สวยงาม ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับสองในยุโรป

วันนี้คุณจะเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ และมีกิจกรรมให้ทำมากมาย เมื่อคุณข้ามทะเลทรายโซลเฮมาซานดูร์ (Solheimasandur) เนินชันของผืนน้ำแข็งที่เป็นส่วนหนึ่งของวัทนาโจกุลและเขตอนุรักษ์ธรรมชาติสกัฟตาเฟลล์ (Skaftafell) จะโผล่มาทักทายให้เห็นอยู่ตรงหน้า

หากคุณไม่ได้ปีนธารน้ำแข็งในวันที่สี่ คุณสามารถมาเพิ่มกิจกรรมปีนธารน้ำแข็งที่สกัฟตาเฟลล์ในวันนี้แทนได้ สกัฟตาเฟลล์เป็นพื้นที่ป่าที่สวยงามอยู่ภายในอุทยานซึ่งมีทั้งหุบเขาลึก น้ำตกที่ส่งเสียงกึกก้อง และธารน้ำแข็งขนาดใหญ่สองแห่งคือธารน้ำแข็งสกัฟตาเฟลล์โจกุล (Skaftafellsjokull) และธารน้ำแข็งสวินาเฟลล์โจกุล (Svinafellsjokull)

อย่างไม่ต้องสงสัยเลย ไฮไลต์ของวันนี้คือทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาร์ลอน (Jokulsarlon) หรือที่มักเรียกกันว่าเป็นสุดยอดแห่งอัญมณีของไอซ์แลนด์ด้วยมีความงามที่ลึกล้ำ ในทะเลสาบแห่งนี้ภูเขาน้ำแข็งสีฟ้าและขาวต่างลอยนิ่งอยู่เหนือผิวน้ำ จะมีส่งเสียงอยู่บ้างก็ในคราวที่เกิดการกระทบกระทั่งเบียดเสียดกัน

และวิวแบบนี้ถือว่าหาดูได้ยากยิ่ง เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตของคุณอย่างแท้จริงที่จะได้เห็นฉากหลังของภูเขา ธารน้ำแข็ง และเกลียวคลื่นของมหาสมุทรแอตแลนติกไปพร้อมกัน สำหรับผู้ที่อยากเข้าไปดูใกล้ๆ ในระยะประชิดติดภูเขาน้ำแข็งเลย คุณสามารถเลือกเพิ่มทัวร์ล่องเรือในทะเลสาบเข้าไปในทริปวันนี้ได้ ซึ่งมีให้เลือกทั้งเรือเร็วท้องแบนโซดิแอกและเรือสะเทินน้ำสะเทินบกที่มีความคล่องตัวน้อยกว่า

เดินเท้าจากทะเลสาบโจกุลซาลอนไปอีกไม่ไกล คุณจะเจอกับหาดไดมอนด์ ซึ่งได้ชื่อนี้มาเพราะว่าบนแนวชายฝั่งเต็มไปด้วยภูเขาน้ำแข็งที่ถูกพัดขึ้นมาจากทะเลสาบในระหว่างที่พวกมันกำลังเดินทางออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติก และภูเขาน้ำแข็งที่กระจัดกระจายอยู่บนผืนทรายสีดำสนิทมองดูวาววับระยิบระยับราวกับเพชร เป็นที่ชื่นชอบของคนรักธรรมชาติอย่างมาก

ในตอนเย็นคุณจะได้พักอยู่ที่ไอซ์แลนด์ตะวันออกเฉียงใต้ในเฮิฟน์ หรือชุมชนเล็กๆ แห่งใดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้

เฮิฟน์เป็นเมืองที่งดงามราวภาพวาดซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านภูมิประเทศที่สวยงามและอยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล ด้วยท่าเรือที่มีเสน่ห์ ภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ และทิวทัศน์อันตระการตาของฟยอร์ดที่อยู่รอบๆ เฮิฟน์จะทำให้ผู้มาเยือนได้ปลีกวิเวกท่ามกลางความงามตามธรรมชาติของไอซ์แลนด์อย่างเงียบสงบ
 

วันนี้คุณจะเดินทางไปยังฟยอร์ดทางตะวันออกของไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนเข้าไปเที่ยวน้อยมากที่สุดแห่งหนึ่ง และจะใช้เวลาวันที่หกนี้สำรวจครึ่งล่างของแถบนี้และพักค้างคืนในเมืองเอกิลสตาดีร์ (Egilsstadir) อันงดงาม

ตามแนวชายฝั่งของฟยอร์ดตะวันออกจะมีหมู่บ้านประมงขนาดเล็กที่น่าแวะชมหลายแห่ง ซึ่งคุณไม่ควรพลาด คุณจะได้เห็นวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่นและบางทีอาจจะได้ชิมปลาที่ชาวบ้านเพิ่งจับมาใหม่ๆ ด้วย

พื้นที่ทางตะวันออกมีนักท่องเที่ยวน้อยเนื่องจากระยะทางที่ห่างไกลจากเมืองหลวงของไอซ์แลนด์ แต่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ นั้นมีความสวยงามไม่แพ้ที่อื่นๆ ในประเทศ และนี่เป็นพื้นที่เดียวของไอซ์แลนด์ที่มีฝูงเรนเดียร์มากมาย

โดยรวมแล้วแถบนี้มีภูมิประเทศที่อึมครึม มีเส้นทางเดินป่าที่หลากหลาย และหมู่บ้านริมชายฝั่งที่มีเสน่ห์น่าสนใจ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ค่อยมีแขกมาเยี่ยมชมและมีประชากรไอซ์แลนด์อาศัยอยู่เพียง 3.2% เท่านั้น

จากเฮิฟน์ คุณจะขับรถไปทางตะวันออกลงไปตามชายฝั่งเว้าแหว่งที่มีบรรยากาศขมุกขมัวเพื่อไปยังภูเขาเวสตราฮอร์น (Vestrahorn) ที่ชาวไอซ์แลนด์เรียกว่า "ภูเขาค้างคาว" หรือ "ภูเขาที่มีเขาแหลมที่สุดของไอซ์แลนด์" ด้วยความที่มียอดแหลมและสูงชันมาก

คุณจะใช้เวลาส่วนหนึ่งของวันนี้ไปกับการชื่นชมทะเลสาบลาการ์ฟโลย์ท (Lagarfljot) ที่เชื่อกันว่าลึกลงไปที่ใต้น้ำมีสัตว์เลื้อยคลานที่เรียกว่า "หนอนแห่งลาการ์ฟโลยท์" อาศัยอยู่ คุณสามารถใช้เวลาที่นี่ได้อย่างเพลิดเพลินไม่ว่าจะคอยมองหาสัตว์ลึกลับในตำนานหรือดื่มด่ำกับวิวรอบตัวที่งดงามอย่างเหลือเชื่อ

นอกจากนี้ในบริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของป่าสงวนแห่งชาติฮาลอร์มสตาร์ดาสโกกูร์ (Hallormsstadaskogur) ซึ่งเป็นผืนป่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ด้วย

ขับรถไปอีกไม่ไกลก็จะเจอกับน้ำตกเฮนกิฟอสส์ (Hengifoss) และลิตลาเนสฟอสส์ (Litlanesfoss) น้ำตกเฮนกิฟอสส์นั้นมีเส้นทางเดินป่าที่สวยงามและมีหินสีแดงเข้ม ส่วนน้ำตกลิตลาเนสฟอสส์ (ที่อยู่ห่างออกไปนิดหน่อย) มีเสาหกเหลี่ยมล้อมรอบตัวน้ำตก

ใกล้กับที่เอกิลสตาดีร์ คุณจะได้เจอกับอ่างน้ำเวิก (Vok) อ่างน้ำพุร้อนธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งที่คุณสามารถเพิ่มบัตรผ่านเข้าใช้บริการได้ในระหว่างที่คุณทำการจองทัวร์ขับรถเที่ยวแพ็คเกจนี้ การลงไปแช่ในสระน้ำอุ่นที่ยื่นออกไปในทะเลสาบอุร์ริดาวาทน์ (Urridavatn) อันงดงามนี้จะเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามาก

หลังจากวันอันแสนวิเศษของการสำรวจ พักผ่อนในที่พักแสนสบายของคุณในเอกิลสตาดีร์หรือพักในบริเวณใกล้เคียงในฟยอร์ดตะวันออก
 

วันที่สองในฟยอร์ดทางตะวันออกคุณจะเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เริ่มจากที่เอกิลสตาดีร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของภาคตะวันออก

จากเอกิลสตาดีร์ขับรถไปไม่นานก็จะถึงอารามสกริดูคลอสตูร์ (Skriduklaustur) ซึ่งครั้งหนึ่งกุนนาร์ กุนนาร์สสัน (Gunnar Gunnarsson) นักเขียนชาวไอซ์แลนด์ผู้โด่งดังเคยอาศัยอยู่ในโรงเรือนเก่าแก่ที่นี่ ปัจจุบันสกริดูคลอสตูร์กลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับนักเขียนท่านนี้และเป็นศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล

วันที่เจ็ดของการเดินทางครั้งนี้คุณจะได้เข้าถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าสนใจของไอซ์แลนด์แบบเข้มข้น เช่น คุณจะไปที่แซเนาทาเซล (Saenautasel) ซึ่งเป็นบ้านสไตล์เทิร์ฟที่อยู่ในชนบทใกล้เคียงด้วย โดยผู้ดูแลบ้านจะเล่าถึงชีวิตประจำวันของผู้ที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยอาศัยอยู่ในบ้านเก่าแก่หลังนี้ให้คุณฟัง

สถานที่ท่องเที่ยวรอบทะเลสาบมิวาทน์มีอยู่มากมายทำให้วันนี้เป็นวันที่เพลิดเพลินมาก คุณจะไปดูป้อมปราการดิมมูร์บอร์กิร์ (Dimmuborgir) อันมืดมิด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีหินภูเขาไฟเป็นปุ่มปมมากมายมองดูคล้ายกับปราสาทผีสิงในโลกแห่งจินตนาการ

นอกจากนี้ยังมีช่องเขาเนามาส์การ์ด (Namaskard) กับภูมิประเทศที่เป็นสีแดงเต็มไปด้วยบ่อโคลนเดือน พุก๊าซพ่นไอน้ำ และกิจกรรมที่เกิดจากพลังงานความร้อนใต้พิภพรูปแบบอื่นๆ ราวกับกำลังอยู่บนดาวอังคาร

ในวันนี้คุณสามารถไปชม "หินยักษ์" สโตรูด์ (Storurd) ในหุบเขาอูรดาร์ดาลูร์ (Urdardalur) ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมในทางตะวันออกและเป็นที่ชื่นชอบของนักเดินป่า

หากคุณเลือกไปไฮกิ้งที่บริเวณนี้คุณจะใช้เวลาเดินประมาณ 9 ชั่วโมงท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สวยงาม ที่นี่มีโขดหินขนาดมหึมาที่ครึ่งล่างจมอยู่ใต้น้ำที่เป็นประกายระยิบระยับของทะเลสาบ ซึ่งเป็นภาพที่งดงามมากและมีวิวของเทือกเขาดิร์ฟโยลล์ (Dyrfjoll) ที่สูงตระหง่าน

คุณยังสามารถเลือกเพิ่มกิจกรรมพักผ่อนแช่น้ำที่อ่างน้ำธรรมชาติมิวาทน์เข้าไปในทริปวันนี้ได้อีกหนึ่งอย่าง ก่อนที่จะเดินทางเข้าที่พักในชนบทในคืนนี้ ซึ่งอยู่ในไอซ์แลนด์ตะวันออกเฉียงเหนือ

วันนี้คุณจะได้ไปชมสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามบนอีกเส้นทางหนึ่ง เส้นทางขับรถไดมอนด์เซอร์เคิลหรือวงกลมเพชร (Diamond Circle) ประกอบไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจ 4 แห่งด้วยกัน ซึ่งแต่ละแห่งนั้นมีความคุ้มค่าน่าเข้าไปชมเท่าๆ กัน และวงกลมเพชรนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจในฝั่งเหนือของไอซ์แลนด์

ทะเลสาบมิวาทน์ (Myvatn) อยู่ไม่ไกลจากจุดเริ่มต้นของคุณในวันนี้และถือเป็นสิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวทางเหนือ ดังนั้นอย่าลืมสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหากคุณพลาดไปเมื่อวานนี้

น้ำตกเดตติฟอสส์ (Dettifoss) เป็นน้ำตกที่ทรงพลังที่สุดในยุโรป ด้วยเสียงคำรามที่ดังกึกก้องและน้ำที่ลดหลั่นเป็นปริมาณมหาศาล เดตติฟอสส์ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยความงามอันบริสุทธิ์และพลังที่แท้จริง ด้วยความสูง 144 ฟุต (44 เมตร) และความกว้าง 328 ฟุต (100 เมตร) ถือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างแท้จริงที่สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับทุกคนที่ได้ชม

หุบเขาเอาส์บิร์กิ (Asbyrgi) ที่เว้าแหว่งเป็นรูปทรงเกือกม้าทำให้แถวนี้มีทัศนียภาพที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ หน้าผาสูงตระหง่าน แมกไม้เขียวขจี และป่าไม้อันเงียบสงบจะทำให้คุณแทบหยุดหายใจ

ส่วนเมืองฮูสาวิค (Husavik) เป็นจุดแวะพักที่น่าสนใจและเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่ต้องการดูวาฬ การผสมผสานระหว่างวิวท่าเรืออันเงียบสงบ ภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ และทิวทัศน์อันบริสุทธิ์ของอ่าวสกาลฟานดิ (Skjalfandi) ที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้ฮูสาวิคเป็นสวรรค์ที่แท้จริงสำหรับผู้รักธรรมชาติ

วันนี้มีกิจกรรมพิเศษที่น่าตื่นเต้นด้วย สำหรับผู้ที่ชอบเดินป่า

ทัวร์ที่ออกเดินทางจากพื้นที่ไฮแลนด์ไปอาสยา (Askya) เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ชอบการเดินป่า อาสยาคือปล่องภูเขาไฟที่อยู่ห่างไกลในพื้นที่ไฮแลนด์ของไอซ์แลนด์ที่ให้นักผจญภัยได้เดินทางที่น่าตื่นเต้นผ่านภูมิประเทศที่ขรุขระ ทะเลทรายคล้ายดวงจันทร์ และมีโอกาสได้ชมความงามอันน่าทึ่งของทะเลสาบปล่องภูเขาไฟวิติ (Viti) โปรดทราบว่าการเดินทางครั้งนี้จะใช้เวลาเกือบทั้งวันของคุณ

สำหรับผู้ที่ชอบทะเลและสัตว์ต่างๆ ฮูสาวิคเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า ในฮูสาวิค คุณสามารถเลือกได้ระหว่างนั่งเรือยาง RIB อันน่าตื่นเต้นกับทัวร์ชมปลาวาฬด้วยเรือแบบดั้งเดิม คุณยังสามารถเพิ่มการแช่ตัวในอ่างน้ำจีโอซี (Geosea) เพื่อผ่อนคลายได้ด้วย

คุณจะได้พักค้างคืนในเมืองแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์

วันนี้คุณจะขับรถจากอาคูเรย์ริซึ่งเป็นเมืองหลวงทางเหนือเพื่อเดินทางไปยังเรคยาวิก เมืองหลวงของไอซ์แลนด์

แม้ว่าจะใช้เวลาอยู่ในรถเยอะมาก แต่วันนี้ก็มีอะไรสวยๆ ให้ดูมากมายทีเดียว เช่น คุณอาจจะเริ่มต้นวันด้วยการไปแวะที่วาร์มาฮลิด (Varmahlid) เมืองเล็กๆ ใกล้กับอาคูเรย์ริ เพื่อไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำในเมืองในช่วงเช้า การมาเยือนเมืองนี้อาจเป็นวิธีที่ดีในการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น

เราขอแนะนำให้ไปแวะดูโขดทะเลฮวิทแซร์กูร์ (Hvitserkur) ด้วย หินบะซอลต์รูปร่างสวยงามสูง 49 ฟุต (15 เมตร) นี้มองดูเหมือนมังกรกำลังก้มดื่มน้ำจากทะเล นอกจากหินฮวิทแซร์กูร์แล้วชายหาดที่นี่ก็ถือว่าเป็นหาดที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์

เมื่อเดินทางกลับไปถึงเรคยาวิกแล้ว คุณสามารถใช้เวลาที่เหลือของวันนี้ออกเที่ยวในแบบที่ต้องการ คุณอาจจะไปพิพิธภัณฑ์และแกลเลอรี่ พักผ่อนในสวนสาธารณะ และไปดูสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมต่างๆ บางทีคุณอาจจะอยากไปนั่งในร้านกาแฟ แวะชมฮาร์ปาคอนเสิร์ตฮอลล์ (Harpa Concert Hall) หรือเดินเที่ยวตลาดนัดที่คึกคักในเมืองก็ได้

คุณสามารถเพิ่มกิจกรรมสนุกๆ ให้กับวันนี้เพื่อให้น่าจดจำยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ท่องเที่ยวภายในภูเขาไฟธรีฮนูคากีกูร์ (Thrihnukagigur) ซึ่งเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้เห็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว ทัวร์เริ่มต้นด้วยการเดิน 45 นาทีไปยังทางเข้าภูเขาไฟ จากนั้นจะมีแท่นแพลตฟอร์มที่พาคุณเข้าสู่โลกใต้พิภพที่เต็มไปด้วยสีสันอันน่าหลงใหล

หรือคุณอาจจะเลือกเข้าไปดูสิ่งที่หลงเหลือจากการระเบิดของภูเขาไฟที่ถ้ำลาวาวิดเกลมิร์ (Vidgelmir) ก็ได้ การก่อตัวของหินที่น่าหลงใหลและความมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยาของดินแดนภูเขาไฟโบราณแห่งนี้รอคอยอยู่

แต่ถ้าถ้ำลาวายังไม่ตื่นเต้นมากพอ คุณยังมีตัวเลือกที่สามเป็นการไปเที่ยวถ้ำน้ำแข็งที่สวยงามในธารน้ำแข็งลางโจกุล

เย็นนี้คุณจะกลับเข้าที่พักในเมืองเรคยาวิก

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่คุณจะอยู่ในไอซ์แลนด์ และเป็นวันที่คุณจะบอกลาเมืองเรคยาวิกและไอซ์แลนด์ด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเวลาขึ้นเครื่องบินของคุณ คุณอาจจะยังพอมีเวลาไปเที่ยวชมสถาปัตยกรรมของโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์กยา (Hallgrimskirkja) หรือชมบ้านเรือนสีสันสดใสในย่านเมืองเก่าได้อีก

คุณยังสามารถเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เพอร์ลาน (Perlan) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของใจกลางเมืองได้อีกด้วย มีหอสังเกตการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับชมทิวทัศน์ของเมืองเรคยาวิกและนิทรรศการที่น่าหลงใหลมากมาย นิทรรศการถ้ำน้ำแข็งและธารน้ำแข็งช่วยให้คุณได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมของธารน้ำแข็งเทียม

ในทางตรงกันข้ามการแสดงแสงอโรรา (Arora) ซึ่งเป็นการจัดแสดงแสงเหนือเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเดินทางที่มาช่วงฤดูร้อนที่ไม่ได้เห็นแสงโดยตรง

นักเดินทางที่มีเที่ยวบินในช่วงท้ายของวันนี้อาจจะเลือกไปชมธรรมชาติของคาบสมุทรเรคยาเนสได้อีก ทิวทัศน์อันตระการตาของคาบสมุทรทำให้เกิดสถานที่ท่องเที่ยวที่แตกต่างจากที่อื่นบนโลก เช่น พื้นที่ความร้อนใต้พิภพของเซลตุนและกุนนูฮแวร์ ซึ่งมีแอ่งโคลนเดือดและปล่องไอน้ำ

สะพานระหว่างทวีป (The Bridge Between Continents) ซึ่งเป็นสะพานลอยในสันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกระหว่างแผ่นเปลือกโลกยูเรเชียนและอเมริกาเหนือ

การเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวประมงที่มีเสน่ห์อย่างกรินดาวิก (Grindavik) จะทำให้คุณได้เห็นชีวิตริมชายฝั่งของประเทศไอซ์แลนด์ ในขณะที่ประภาคารเรคยาเนสวิติ (Reykjanesviti) และหน้าผาครีซูวิคูร์บยาร์ก (Krysuvikurbjarg) ให้ทัศนียภาพอันน่าทึ่งและเหมาะกับการดูนก

แต่เมื่อหมดเวลาเที่ยวแล้ว ให้คุณเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติเคฟลาวิกเพื่อส่งคืนรถเช่า ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ และกลับมาเที่ยวที่ไอซ์แลนด์อีกครั้งเร็วๆ นี้