ขับรถล่าแสงเหนือฤดูหนาว 8 วัน รอบถนนวงแหวนและวงกลมทองคำของไอซ์แลนด์

เมื่อเดินทางมาถึงที่ไอซ์แลนด์แล้วให้คุณไปรับรถจากในสนามบินนานาชาติเคฟลาวิกและขับมุ่งหน้าไปบนคาบสมุทรเรคยาเนส ซึ่งสองข้างทางจะเต็มไปด้วยทุ่งลาวาที่มีมอสขึ้นปกคลุม

สำหรับคนที่มีเที่ยวบินช่วงเย็นและอยากที่จะไปชมบลูลากูน คุณจะได้ท่องเที่ยวทุกสถานที่ก่อนออกเดินทางไปสนามบิน. นี่คือสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนขณะที่คุณอาบน้ำในน้ำอุ่นและน้ำแร่ที่อุดมไปด้วยเมื่อคุณมองย้อนกลับไปในการผจญภัยที่เหลือเชื่อที่คุณเพิ่งมีในดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง หากเที่ยวบินของคุณออกช่องเย็นมีหลายสิ่งให้ทำในเรคยาวิก หากคุณมีเที่ยวบินช่วงเช้สกลับบ้านเราหวังว่าคุณจะเดินทางอย่างสะดวกสบาย

หลังจากแช่น้ำจนสดชื่นแล้ว คุณค่อยขับรถเข้าไปยังที่พักของคุณในคืนนี้ซึ่งอยู่ในกรุงเรคยาวิก (Reykjavík) เมืองหลวงของไอซ์แลนด์

วันนี้คุณจะเริ่มต้นทริปขับรถอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากการไปเที่ยววงกลมทองคำ แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของไอซ์แลนด์กันก่อน ซึ่งบริเวณนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอยู่สามแห่งด้วยกัน และที่แรกที่คุณจะไปคืออุทยานแห่งชาติธิงเวลลีย์ (Þingvellir National Park) ซึ่งเป็นพื้นที่มรดกโลกของยูเนสโก้ โดยบริเวณนี้เป็นสถานที่ตั้งของอัลทิงกิ (Alþingi) หรือรัฐสภาแห่งแรกที่สร้างขึ้นโดยผู้อพยพชาวไวกิงในปี 930 นอกจากรัฐสภาเก่าแก่แล้ว ในอุทยานฯ ยังมีหุบเขารอยแยกขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นจุดที่แผ่นเปลือกโลกของสองทวีปแยกตัวออกจากกันทำให้เกิดเป็นรอยแยกจำนวนมากมาย

หนึ่งในรอยแยกเหล่านั้น รอยแยกซิลฟรา (Silfra) มีน้ำใสราวกับกระจกไหลเข้ามาเติมเต็ม โดยน้ำเหล่านี้มาจากธารน้ำแข็งลางโจกุล (Langjökull) ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่เป็นอันดับสองของไอซ์แลนด์ รอยแยกซิลฟราเป็นจุดดำน้ำตื้นที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่ง เมื่อคุณจองทริปขับรถทริปนี้ คุณสามารถเลือกเพิ่มทัวร์ดำน้ำตื้นที่ซิลฟราเข้าไปในทริปได้ถ้าคุณอยากลงไปสำรวจทัศนวิสัยใต้น้ำที่ใสแบบไร้อะไรมาบดบังการมองเห็นกันเลยทีเดียว

จุดต่อไปคือทุ่งน้ำพุร้อนไกเซอร์ (Geysir) บริเวณนี้โด่งดังมากจากการที่มีน้ำพุร้อนอยู่มากมาย และไกเซอร์สโทรคูร์ (Strokkur) พระเอกของที่นี่ เป็นน้ำพุร้อนทำหน้าที่พ่นน้ำร้อนเดือดขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงราว 15-20 เมตรในทุกๆ 5-10 นาที เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงพละกำลังของธรรมชาติในไอซ์แลนด์

จากบริเวณนี้คุณจะเดินทางต่อไปยังน้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) และคุณจะได้เห็นมวลน้ำจากแม่น้ำกลาเซียร์ฮวิทเอา (Hvítá) ไหลลงสู่เหวด้านล่างที่ความสูง 32 เมตร ซึ่งคุณจะต้องตื่นตาไปกับทัศนียภาพอันงดงามของสถานที่แห่งนี้และเสียงคำรามของน้ำตกกุลล์ฟอสส์จะดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาทของคุณ

จากบริเวณน้ำตกกุลล์ฟอสส์ หากคุณต้องการไปเที่ยวธารน้ำแข็งลางโจกุล (Langjökull) ธารน้ำแข็งที่เป็นต้นกำเนิดของน้ำในแม่น้ำฮวิทเอาร่วมกับคณะทัวร์ คุณสามารถซื้อทัวร์ซุปเปอร์จี๊ปเพิ่มได้เมื่อทำการจองแพ็คเกจนี้ และเมื่อไปถึงที่นั่นคุณก็จะได้ขี่สโนว์โมบิลแข่งขันกันให้สนุกบนผืนน้ำแข็งสีขาวโพลน

หลังจากเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ และเพลิดเพลินกับกิจกรรมสนุกๆ มาทั้งวันแล้ว ในตอนเย็นคุณจะเดินทางไปที่พักซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเซลฟอสส์ (Selfoss) อันสงบเงียบ 

ในวันนี้คุณจะออกสำรวจดินแดนมหัศจรรย์บนชายฝั่งทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ ซึ่งมีทั้งน้ำตกสวยๆ หาดทรายสีดำ และธารน้ำแข็ง เริ่มต้นวันด้วยการขับรถไปยังน้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์ (Seljalandsfoss) น้ำตกสูงและแคบแห่งนี้มีน้ำที่ไหลตกลงมาจากหน้าผาโค้งเว้าสูง 62 เมตร คุณสามารถมองเห็นตัวน้ำตกได้จากบนถนนตั้งแต่ระยะไกล และความตื่นเต้นจะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเมื่อคุณยิ่งขับเข้าไปใกล้กับตัวน้ำตก

จากนั้นคุณจะเดินทางต่อไปยังน้ำตกอีกแห่งหนึ่งที่งดงามไม่แพ้กัน น้ำตกสโกกาฟอสส์ (Skógafoss) เป็นน้ำตกที่มีความกว้างมากกว่าน้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์เยอะมากและมีบรรยากาศคลาสสิกมากกว่าด้วย โดยคุณสามารถเดินเข้าไปถึงจุดที่สายน้ำตกลงกระทบพื้นเพื่อให้ละอองเย็นๆ กระเซ็นสาดใบหน้าได้เลย

เมื่อคุณขับรถไปบนถนนที่ยาวเหยียดในทางใต้ คุณจะเห็นภูเขาไฟธารน้ำแข็งเอยาฟยาลลาโจกุลล์ (Eyjafjallajökull) ที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วโลก รวมถึงธารน้ำแข็งมิร์ดาลสโจกุล (Mýrdalsjökull) ซึ่งเปรียบเสมือนพี่ใหญ่ คอยปกปักษ์คุ้มครองภูเขาไฟอยู่ และถ้าหากคุณอยากเข้าไปชมกลาเซียร์แบบใกล้ๆ วันนี้คุณมีโอกาสที่จะทำเช่นนั้นแล้ว

คุณสามารถเลือกเพิ่มทัวร์ปีนกลาเซียร์ที่โซลเฮมาร์โจกุล (Sólheimajökull) ซึ่งเป็นหนึ่งในหุบเขากลาเซียร์บนธารน้ำแข็งมิร์ดาลสโจกุลเข้าไปในทริปวันนี้ เพื่อที่จะขึ้นไปเดินสำรวจผืนน้ำแข็งโบราณอายุนับล้านปีและปีนป่ายผ่านรอยแยกสีฟ้าและยอดแหลมที่ปกคลุมด้วยเถ้าสีดำเมื่อครั้งที่เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ

ถัดจากธารน้ำแข็งมิร์ดาลสโจกุลไปเป็นหมู่บ้านวิก (Vík) เมืองเล็กๆ อันเงียบสงบที่อยู่ไม่ไกลจากหาดเรย์นิสฟยารา (Reynisfjara) หาดทรายดำอันงดงามที่มีหน้าผาเสาหินบะซอลต์ขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ริมหาด และที่ในทะเลแถวนั้นยังมีโขดหินเรย์นิสดรังการ์ (Reynisdrangar) สูงถึง 66 เมตรโผล่พ้นน้ำโดดเด่นเป็นสง่าให้เห็นด้วย

จากหมู่บ้านวิกคุณจะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกในทิศทางเดียวกับธารน้ำแข็งวัทนาโจกุล (Vatnajökull) ธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป ซึ่งเขตอนุรักษ์ธรรมชาติสกัฟตาเฟลล์ (Skaftafell Nature Reserve) เองก็อยู่บนผืนน้ำแข็งนี้เช่นกัน เขตอนุรักษ์แห่งนี้มีเทรลและเส้นทางเดินเขาจำนวนมาก. ขับรถไม่นานจากสกัฟตาแฟลล์ ก็จะเป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาโลนที่สวยงามที่ภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่แตกสลายและลอยไปสู่มหาสมุทร. ใช้เวลาสักครู่ที่โจกุลซาโลน และดื่มด่ำกับความเงียบสงบของพื้นที่.ดูภูเขาน้ำแข็งเคลื่อนที่ไปพร้อมกับคลื่นและฟังเสียงแตกของน้ำแข็ง. มีแมวน้ำจำนวนมากมารวมตัวกันที่ปากทะเลสาบเพื่อจับปลาหรือนอนเล่นบนก้อนน้ำแข็ง. เดินไปไม่ไกลก็จะถึงหาด Diamond ซึ่งเป็นที่ที่น้ำแข็งถูกขัดเงาด้วยมหาสมุทร และเกยตัวบนชายฝั่งและเปล่งประกายท่ามกลางแสงแดดส่องคล้ายกับอัญมณีล้ำค่าที่ทำให้ชายหาดแห่งนี้มีชื่อเสียง. คืนนี้คุณจะพักค้างคืนแถวโจกุลซาลอน/เฮิฟ์น

ถ้าคุณเดินทางมาในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม คุณจะมีโอกาสได้เข้าไปชมถ้ำน้ำแข็งของจริงที่อยู่ในธารน้ำแข็งวัทนาโจกุลด้วย ซึ่งถ้ำน้ำแข็งแบบนี้ไม่ได้มีให้เห็นกันทั่วไปและสามารถเข้าไปชมด้านในได้แค่ในช่วงหน้าหนาวเท่านั้น เพราะในหน้าร้อนจะมีน้ำท่วม ถ้าต้องการลงไปชมความงดงามของกลาเซียร์ที่ใสราวกับคริสตัลที่ข้างล่างนั้น คุณก็สามารถเพิ่มทัวร์ถ้ำน้ำแข็งเข้าไปในระหว่างที่จองทริปขับรถเที่ยวหน้าหนาวนี้ได้เลย

จากนั้นคุณจะมุ่งหน้าไปทางฟยอร์ดทางฝั่งตะวันออกของไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลที่งดงามแต่ไร้ผู้คน คุณจะขับรถไปตามเส้นทางคดเคี้ยว ผ่านฟยอร์ดและเขาสูงชันมากมาย คุณจะได้เห็นเวิ้งน้ำแข็งที่ไร้เงาสิ่งมีชีวิต และหมู่บ้านชาวประมงที่ซบเซา โดยระหว่างที่รถแล่นไปนั้นธารน้ำแข็งวัทนาโจกุลขนาดมหึมาจะทำหน้าที่เป็นเพื่อนแก้เหงาให้คุณเห็นอยู่ในทางทิศตะวันตก

บนเส้นทางนี้คุณจะผ่านไปแถวภูเขาเวสตราฮอร์น (Vestrahorn) และภูเขาเอสตราฮอร์น (Eystrahorn) ซึ่งเป็นจุดหมายปลายที่ช่างภาพนิยมแวะมาเก็บภาพมุมสวยๆ ของยอดเขาและเงาสะท้อนของพวกมันเหนือผิวน้ำทะเล

สถานที่สุดท้ายสำหรับวันนี้คือ เอกิลสตาดีร์ (Egilsstaðir) ชุมชนที่อยู่ปลายสุดทางทิศตะวันออก หากท้องฟ้าในคืนนี้ปลอดโปร่งคุณอาจจะได้เห็นแสงเหนืออันลึกลับก็ได้

วันนี้คุณจะออกสำรวจพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลของฟยอร์ดตะวันออกให้ไกลขึ้นอีก โดยบริเวณที่คุณจะไปนั้นมีชื่อเสียงเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติและสัตว์ป่าเป็นอย่างมาก เมื่อคุณเดินทางในแถบนี้ให้คอยสอดส่ายสายตามองหาฝูงกวางเรนเดียร์ด้วย เพราะที่นี่เป็นจุดเดียวในไอซ์แลนด์ที่มีกวางเรนเดียร์อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ 

ไม่ไกลจากเอกิลสตาดีร์จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในฝั่งตะวันออก ซึ่งก็คือป่าฮาลอร์มสตาร์ดาสโกการ์ (Hallormsstaðaskógur) และทะเลสาบลาการ์ฟโลย์ท (Lagarfljót)

ผืนป่าแห่งนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ในบริเวณนั้นมีเทรลเดินเขาที่จะพาคุณไปชมน้ำตก ลำธาร หน้าผา ท้องทุ่ง และอ่าวจำนวนหลายแห่ง คุณสามารถเดินขึ้นไปชมทะเลสาบลาการ์ฟโลย์ทอันสงบเงียบที่ด้านบนก็ได้ถ้าอยากไปตามล่าหาลาการ์ฟโลย์ทซอร์มูริน (Lagarfljótsormurinn) สัตว์ประหลาดในตำนานที่เชื่อกันว่าอาศัยอยู่แถวนี้

หลังจากสำรวจทางตะวันออกกันไปแล้ว คราวนี้คุณจะเปลี่ยนทิศขึ้นไปทางเหนือกันบ้าง คุณจะเดินทางไปยังทะเลสาบมิวาทน์ (Mývatn) สถานที่แห่งความแตกต่างหลากหลายที่ตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ ที่มิวาทน์คุณจะพบโขดลาวาและปากปล่องภูเขาไฟเทียม (pseudocraters) กระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก และบริเวณโดยรอบแถวๆ นั้นก็งดงามไม่แพ้กัน ซึ่งภูมิประเทศแถบนี้ทั้งหมดเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อกว่า 2,000 ปีมาแล้ว

คุณสามารถไปเที่ยวที่ดิิมมูร์บอร์กิร์ (Dimmuborgir) ด้วยก็ได้ ที่นั่นเป็นทุ่งลาวาขนาดใหญ่ ซึ่งเปรียบเสมือนเขาวงกตที่เต็มไปด้วยหน้าผา รวมถึงเสาและหินรูปร่างแปลกประหลาด ใกล้ๆ กันคือ แคว์ราแวลลิร์ (Hveravellir) ทุ่งน้ำพุร้อนที่เต็มไปด้วยบ่อโคลนเดือดและพุแก๊สที่พ่นไอน้ำร้อนออกมา แต่วิธีผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางท่องเที่ยวที่ดีที่สุดคือการไปแช่น้ำแร่ร้อนที่อ่างน้ำธรรมชาติมิวาทน์ (Mývatn Nature Baths) คุณจะได้ดื่มด่ำกับน้ำแร่ร้อนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของมิวาทน์ และหากในคืนนี้ท้องฟ้าไร้เมฆมาบดบัง แสงเหนืออาจจะออกมาเต้นระบำทักทายคุณในระหว่างที่คุณแช่น้ำอยู่ก็ได้

คืนนี้คุณจะพักค้างคืนในแถบมิวาทน์

วันนี้คุณจะเดินทางไปทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์ ไปเที่ยวน้ำตกสวยๆ ชมพิพิธภัณฑ์แปลกๆ และเข้าไปในเมืองที่คึกคักกันบ้าง

เริ่มต้นวันกันที่เมืองฮูสาวิก (Húsavík) ในอ่าวสเกายวานดิ (Skjálfandi) ทะเลรอบๆ เมืองนี้มีปลาวาฬและปลาโลมาราว 23 สายพันธุ์มาอาศัยอยู่ ดังนั้นการไปชมพิพิธภัณฑ์ปลาวาฬฮูสาวิก (Húsavík Whale Museum) เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาด

จากฮูสาวิกคุณจะเดินทางไปทางทิศตะวันตกไปทางเมืองอาคูเรย์ริ (Akureyri) ระหว่างทางคุณสามารถแวะเที่ยวพิพิธภัณฑ์การขนส่งแห่งอิสตาเฟลล์ (Transport Museum of Ystafell) ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่คนชอบรถน่าจะประทับใจมาก เพราะว่ามีคอลเล็กชั่นรถคลาสสิกทั้งที่ยังมีสภาพดีและซากรถยนต์และรถบรรทุกรุ่นเก่าๆ สะสมไว้ให้ชมเป็นจำนวนมาก

เมื่อไปถึงแถวอาคูเรย์ริ ถ้าคุณออกนอกเส้นทางไปหน่อยก็จะเจอกับคริสต์มาสเฮ้าส์แห่งไอซ์แลนด์ และไม่ว่าคุณจะมาในเดือนธันวาคมหรือเมษายน ที่นี่ก็จะมีบรรยากาศของคริสต์มาสเสมอ คุณสามารถเข้าไปเรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีของชาวไอซ์แลนด์ เช่น ยูล ลาดส์ (Yule Lads) หรือซานต้าเวอร์ชั่นไอซ์แลนด์และนางยักษีกริลาร์ (Grýla) หรือจะแวะไปหาของขวัญและของตกแต่งสำหรับเทศกาลคริสต์มาสไว้สำหรับใช้ในปีถัดไปก็ได้ หลังจากนั้นคุณจะเดินทางเข้าไปในเมืองอาคูเรย์ริ เมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดในทางเหนือของไอซ์แลนด์ คุณจะขับไปยังที่พักของคุณในคืนนี้ และถ้าคุณยังไม่เหนื่อยจนเกินไปคุณสามารถออกไปเที่ยวชมเมือง หรือจะออกไปล่าแสงออโรร่าบอเรลลิสก็ได้

วันนี้เป็นวันที่คุณจะขับรถครบรอบเส้นทางทั่วไอซ์แลนด์ และจะวนกลับเข้าสู่เมืองเรคยาวิก เตรียมร่างกายให้พร้อมเพราะคุณจะใช้เวลาบนท้องถนนค่อนข้างเยอะ แต่รับรองว่าตลอดทางจะมีอะไรดีๆ ให้คุณดูเยอะแยะไปหมด. เริ่มจากที่อาคูเรย์ริเป็นที่แรกเพราะวันนี้คุณจะออกไปทำความรู้จักกับเมืองเล็กๆ แห่งนี้ให้ดีขึ้น ถ้าพร้อมแล้วก็กระโดดขึ้นรถแล้วไปกันเลย เมื่อคุณข้ามฮอล์ตาเวอร์ดูเฮดิ (Holtavörðuheiði) มาแล้วให้คุณแวะเที่ยวแถวบอร์การ์ฟอย์ดูร์ (Borgarfjörður) กันก่อน แถวนั้นมีน้ำตกอยู่สองแห่ง ซึ่งทั้งสองมีความงามแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง น้ำตกบาร์นาฟอสส์ (Barnafoss) มีน้ำตกไหลผ่านหุบเขาแคบคดเคี้ยว ส่วนน้ำตกเฮินฟอซซาร์ (Hraunfossar) ที่กว้างและสั้นกว่านั้นมีสายน้ำไหลเอื่อยๆ มาจากขอบทุ่งลาวาสีดำ ขับรถต่อไปอีกไม่ไกลก็จะเจอกับเดลตาร์ทุงกุแควร์ (Deildartunguhver) น้ำพุร้อนที่ทรงพลังที่สุดในยุโรป น้ำพุร้อนที่นี่ล้อมรอบด้วยหินสีแดงสดและมีไอน้ำมากมายปกคลุมอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากมีการปั๊มเอาน้ำอุณหภูมิใกล้ถึงจุดเดือดจากใต้ดินจำนวนกว่า 180 ลิตรขึ้นมาในทุกๆ วินาที น้ำพุร้อนแห่งนี้มีขนาดใหญ่ถึง 50 ตารางเมตร แต่ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ใต้พื้นดิน ชาวบ้านในเมืองใกล้ๆ อย่างอาคราเนส (Akranes) และบอร์การ์เนส (Borgarnes) ได้มีการนำพลังงานจากน้ำพุร้อนแห่งนี้ไปใช้ประโยชน์ในการให้ความอบอุ่นกับบ้านเรือนด้วย โดยไอน้ำที่พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้พิภพนั้นเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจให้เราเห็นถึงพลังงานที่ยังซ่อนตัวอยู่ใต้เปลือกโลก มุ่งหน้าเดินทางกลับสู่เรคยาวิก คืนนี้คุณจะพักค้างคืนกันที่ในเมืองหลวง

วันนี้เป็นวันสุดท้ายในไอซ์แลนด์แล้ว คุณสามารถออกไปนั่งตามร้านเบเกอรี่ใกล้ๆ เพื่อหาอาหารเช้ารับประทานพร้อมกับดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองก็ได้หากเที่ยวบินของคุณไม่ได้กระชั้นชิดนัก แนะนำให้ลอง snúður ซึ่งเป็นขนมปังโรลไส้ซินนามอนเคลือบช็อกโกแลต

ผู้ที่มีเที่ยวบินในช่วงสายสามารถเลือกไปเที่ยวบลูลากูนในวันนี้ได้ เพื่อปิดทริปแบบผ่อนคลายก่อนที่จะเดินทางไปสนามบิน ซึ่งบลูลากูนเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับมาแช่น้ำแร่ร้อนให้ร่างกายหายเมื่อยล้าในขณะที่นึกย้อนไปถึงประสบการณ์การผจญภัยสนุกๆ ที่คุณเพิ่งสัมผัสมาในดินแดนแห่งน้ำแข็งและไฟ หากเที่ยวบินของคุณออกในช่วงเย็นหรือค่ำ คุณก็ยิ่งมีกิจกรรมให้ทำในเรคยาวิกได้อีกมาก แต่หากเที่ยวบินของคุณอยู่ในช่วงเช้า เราก็ขอให้คุณเดินทางกลับบ้านอย่างมีความสุข

ระหว่างที่มุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ผ่านทุ่งลาวาสีดำของคาบสมุทรเรคยาเนสเพื่อเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติเคฟลาวิก หากคุณยังมีเวลาเหลือ คุณยังสามารถแวะที่ทะเลสาบเคลฟาร์วาทน์ (Kleifarvatn) หรือพิพิธภัณฑ์ไวกิ้ง (Viking World) ได้อีก ทั้งนี้อย่าลืมเผื่อเวลาไว้สำหรับนำรถเช่าไปคืนในสนามบินด้วยแล้วคุณค่อยเดินทางขึ้นเครื่องบินกลับบ้านอย่างปลอดภัย