ทัวร์ขับรถเที่ยวเองในฤดูร้อน 10 วัน ที่เที่ยวห่างไกลผู้คนบนเส้นทางฟยอร์ดทางตะวันตก สไนล์แฟลซเนส & เกาะแฟลทเทย์
คำอธิบาย
รายละเอียด
คำอธิบาย
เดินทางสู่อ้อมอกของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ชมฟยอร์ดที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว บ้านเทิร์ฟเฮาส์ น้ำพุร้อน เกาะอันห่างไกล และเมืองที่ถูกทิ้งร้างไปกับทัวร์ขับรถเที่ยว 10 วัน บนเส้นทางคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส (Snæfellsnes) และฟยอร์ดทางตะวันตก (Westfjords) ทริปนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาวันหยุดพักผ่อนที่สงบ ต้องการอิสรภาพในการเดินทาง และอยากเห็นวิถีชีวิตเรียบง่ายก่อนที่ความเจริญจะเข้าถึง
ในทัวร์นี้คุณจะได้ไปเยือนคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนสที่กินบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลและเดินทางผ่านภูมิประเทศงดงามมากมายก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังฟยอร์ดทางตะวันตกและเกาะแฟลทเทย์ (Flatey) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวที่สุดของไอซ์แลนด์จนเหมือนว่าเวลาหยุดนิ่งมาเนิ่นนาน
ระหว่างการเดินทาง ในช่วงเย็นของแต่ละวันคุณจะเข้าพักในโรงแรมตามชนบทที่สวยงาม ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านประมงและเมืองชายฝั่งของคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนสและฟยอร์ดทางตะวันตก และจะได้นอนค้างบนเกาะแฟลทเทย์ที่เงียบสงบเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ เป็นเวลาหนึ่งคืนด้วย
คุณจะเพลิดเพลินกับอิสรภาพในการท่องเที่ยวได้เต็มที่อย่างที่ต้องการ เนื่องจากทัวร์ขับรถเที่ยวด้วยตัวเองนี้ไม่มีไกด์ทัวร์หรือข้อจำกัดด้านเวลา เมื่อคุณทำการจองทัวร์นี้คุณจะได้รับรายละเอียดแผนการเดินทางส่วนตัว จากแผนการเดินทางนี้คุณจะเที่ยวอย่างไรก็ได้ตามใจ และคุณจะเลือกเพิ่มกิจกรรมแอดเวนเจอร์ที่สนุกสนานตื่นเต้นเข้าไปในทริปแต่ละวันอย่างไรก็ได้เช่นกัน ตัวอย่างกิจกรรมที่น่าสนใจแถมด้วยส่วนลดราคาพิเศษเมื่อจองกิจกรรมพร้อมกับทัวร์ขับรถแพ็คเกจ ได้แก่ ดูวาฬ สำรวจถ้ำ เที่ยวอุโมงค์ถ้ำน้ำแข็ง และเข้าไปชมด้านในของภูเขาไฟที่สงบแล้ว
ใช้เวลากลางวันอันยาวนานในช่วงหน้าร้อนที่ไอซ์แลนด์ให้คุ้มค่าด้วยการลงไปแช่น้ำในอ่างน้ำร้อนที่ฟยอร์ดทางตะวันตก เดินชมธรรมชาติบนหาดทรายสีขาวและหาดทรายสีดำบนคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส และเพลิดเพลินไปกับนกพัฟฟินตัวน้อยบนเกาะแฟลทเทย์ด้วยทัวร์ขับรถเที่ยวหน้าร้อนระยะเวลา 10 วันแพ็คเกจนี้ คุณสามารถตรวจสอบจำนวนที่ว่างได้โดยระบุวันที่ที่ต้องการเดินทาง
ร่วมด้วย
แผนที่
สถานที่ท่องเที่ยว
กิจกรรม
แผนการเที่ยวรายวัน

วัน 1 - เดินทางมาถึง
ยินดีต้อนรับสู่ไอซ์แลนด์!
เมื่อเดินทางมาถึงไอซ์แลนด์ เครื่องบินของคุณจะลงจอดที่สนามบินนานาชาติเคฟลาวิก ซึ่งตั้งอยู่กลางทะเลทรายลาวาที่แห้งแล้งบนคาบสมุทรเรคยาเนส (Reykjanes) หลังจากที่รับกระเป๋าและรับรถเช่าที่คุณจะใช้เป็นพาหนะในการเดินทางตลอด 10 วันนี้เรียบร้อยแล้ว คุณจะมุ่งหน้าสู่เรคยาวิก (Reykjavik) เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์
ระหว่างทางไปยังเมืองหลวงของไอซ์แลนด์คุณสามารถเลือกแวะที่บลูลากูน (Blue Lagoon) ก่อนได้ สปาที่มีชื่อเสียงระดับโลกแห่งนี้มีชื่อเสียงเรื่องน้ำสีฟ้าสดใสและการบำบัดที่หรูหรา สปาแห่งนี้ตั้งอยู่กลางทุ่งลาวาที่ปกคลุมไปด้วยมอสส์ทำให้มีบรรยากาศแปลกตา หากคุณเลือกเพิ่มบลูลากูนเข้าไปในทริป กิจกรรมนี้จะถูกจัดเข้าในโปรแกรมการเดินทางให้สอดคล้องกับเที่ยวบินของคุณ หากคุณยังไม่มีเวลามากพอที่จะไปในวันนี้ ก็ยังสามารถไปในวันอื่นได้ โดยที่ปรึกษาด้านการเดินทางของคุณจะจัดการเรื่องนี้ให้คุณได้ ในเรคยาวิกและคาบสมุทรเรคยาเนสมีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมมากมายรอคุณอยู่
คุณอาจจะเริ่มต้นการผจญภัยด้วยการสำรวจคาบสมุทรเรคยาเนสก่อนก็ได้ เนื่องจากสนามบินนานาชาติเคฟลาวิกเป็นประตูหลักที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติที่มาเยือนไอซ์แลนด์ทั้งหมด ดังนั้น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต้องขับผ่านคาบสมุทรแห่งนี้เป็นระยะทาง 31 ไมล์ (50 กม.) อยู่แล้ว บางคนจึงเลือกที่จะแวะชมสถานที่ท่องเที่ยวลับๆ ที่อยู่บนคาบสมุทรเรคในวันนี้
เช่นเดียวกับอุทยานแห่งชาติธิงเวลลีย์ (Þingvellir) บนเส้นทางวงกลมทองคำ คาบสมุทรเรคยาเนสตั้งอยู่บนขอบตามแนวสันกลางมหาสมุทรแอตแลนติก บริเวณนี้จึงมีลักษณะทางธรณีวิทยาที่เป็นเอกลักษณ์น่าสนใจมากมาย
เมื่อคุณเดินทางไปถึงในเมืองหลวงแล้ว คุณจะเข้าไปพักผ่อนเก็บข้าวของในโรงแรมกันก่อน จากนั้นคุณก็สามารถไปเดินเล่นสำรวจเมืองเรคยาวิกเพื่อชมสถาปัตยกรรมแปลกๆ ที่อยู่ในเมืองนี้ เช่น ฮาร์ปาคอนเสิร์ตฮอลล์ (Harpa Concert hall) และโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา

วัน 2 - วัฒนธรรมไวกิ้งในไอซ์แลนด์ตะวันตก
เนื่องจากทัวร์นี้เป็นทัวร์ที่คุณขับรถเที่ยวเอง ดังนั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณก่อนที่จะสตาร์ทรถและออกเดินทาง
เมื่อคุณพร้อมแล้วก็บอกลาชีวิตในเมืองและมุ่งหน้าสู่ธรรมชาติของไอซ์แลนด์กันได้เลย หนทางในอีกหลายวันข้างหน้านี้จะเต็มไปด้วยหุบเขาเขียวขจี เทือกเขาตระหง่านงดงาม หมู่บ้านที่ห่างไกลผู้คน และสถานที่ท่องเที่ยวในดินแดนไกลปืนเที่ยง
คุณจะขับรถไปยังเขตบอร์การ์ฟยอร์ดูร์ (Borgarfjörður) ในทางตะวันตกของไอซ์แลนด์ ฟยอร์ดบอร์การ์ฟยอร์ดูร์ตั้งอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นของมหาสมุทรแอตแลนติกในทางทิศตะวันตกและท่ามกลางธารน้ำแข็งมหึมาในทางทิศตะวันออก และบริเวณฟยอร์ดแห่งนี้เปรียบเสมือนโอเอซิสแห่งวัฒนธรรมไวกิ้ง ซึ่งเคยรุ่งเรืองมากในอดีตเมื่อกว่าหนึ่งพันปีที่แล้ว
เดินทางต่อไปยังเมืองบอร์การ์เนส (Borgarnes) ที่นี่คุณสามารถศึกษาเกี่ยวกับชีวิตคนในสมัยก่อนได้จากพิพิธภัณฑ์ถึงสองแห่ง โดยที่เดอะเซ็ทเทิลเมนต์ เซ็นเตอร์ (Settlement Centre) นั้นนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับยุคที่มนุษย์เริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไอซ์แลนด์และตำนานซากาเกี่ยวกับตระกูลเอกิลล์ (Egill) กวีและนักรบจากยุคไวกิ้ง ส่วนพิพิธภัณฑ์บอร์การ์เนสมีนิทรรศการภาพถ่ายที่แสดงถึงพัฒนาการในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาผ่านภาพถ่ายของเด็กๆ ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้
แต่ก่อนที่จะเดินทางไปถึงบอร์การ์เนส คุณอาจจะอยากขับรถออกนอกเส้นทางเพื่อไปเที่ยวน้ำตกเฮินฟอซซาร์ (Hraunfossar) และน้ำตกบาร์นาฟอสส์ (Barnafoss) แห่งแรกนั้นเป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลเอื่อยรวยรินออกมาจากหน้าผาลาวาสีดำ ส่วนแห่งที่สองที่อยู่ใกล้ๆ กันมีสายน้ำสาดซัดผ่านซอกหินแคบๆ อย่างแรง
ขับรถต่อไปคุณจะผ่านพื้นที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์และหุบเขาที่อยู่ทางตะวันตกของไอซ์แลนด์จนกระทั่งคุณไปถึงคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส ซึ่งเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำตก แนวชายฝั่งที่สวยงาม หาดที่เต็มไปด้วยกรวดสีดำ ภูเขาสูงตระหง่าน ทุ่งลาวา และธารน้ำแข็งอันยิ่งใหญ่
แวะชมที่เที่ยวลับๆ ที่ซ่อนอยู่แถวหน้าผาแกร์ดูเบิร์ก (Gerðuberg) หน้าผาสงบเงียบสวยงามที่โดดเด่นสะดุดตาด้วยเสาหกเหลี่ยมที่ก่อตัวขึ้นในดินแดนภูเขาไฟแห่งนี้มานานหลายพันปี จากนั้นคุณจะไปต่อที่อิทรี ทุงกา (Ytri-Tunga) หนึ่งในหาดทรายเพียงไม่กี่แห่งของไอซ์แลนด์ที่มีทรายเป็นสีขาว บริเวณนี้คุณอาจจะได้เห็นแมวน้ำออกมาโชว์ตัวตามริมชายฝั่ง
อีกสถานที่หนึ่งที่คุณไม่ควรพลาดคือหมู่บ้านบูดิร์ (Búðir) หมู่บ้านขนาดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางทุ่งลาวาบูดาเฮริน (Búðahraun) บรรยากาศอึมครึมของโบสถ์ประจำหมู่บ้านซึ่งมีสีดำสนิทและรายล้อมไปด้วยหลุมฝังศพนั้นน่าสนใจและเหมาะกับการถ่ายภาพมากๆ นอกจากนี้ ก่อนที่จะกลับเข้าที่พักในคืนนี้ คุณยังสามารถแวะไปเที่ยวที่หมู่บ้านอาร์นาร์สตาปิ (Arnarstapi) ที่มีวิวสวยงามของหน้าผาและภูเขาล้อมรอบได้อีกหนึ่งแห่ง คืนนี้พักค้างคืนในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อเฮลล์นาร์ (Hellnar)

วัน 3 - ความประทับใจบนคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส
ดื่มด่ำกับทัศนียภาพชายฝั่งที่สวยงามของหมู่บ้านเฮลล์นาร์ให้จุใจก่อนที่จะออกเดินทางต่อไปยังคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนสและอุทยานแห่งชาติชื่อเดียวกัน ตลอดทริปในวันนี้ คุณจะได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แปลกประหลาดราวกับหลุดมาจากนิยายแฟนตาซี และเมื่อมองไปรอบตัวคุณก็จะสังเกตเห็นธารน้ำแข็งสไนล์เฟลล์โจกุลอันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของตำนานและนิทานพื้นบ้านมากมายตั้งตระหง่านอยู่เคียงข้างตลอดเวลา
ขับรถต่อไปอีกเล็กน้อยก็จะเจอกับหินบะซอลต์โลนตรังการ์ (Lóndrangar) ซึ่งเป็นแท่งหินยอดแฝดที่มองดูเหมือนมีปราสาทสีดำโผล่ออกมาจากมหาสมุทรแอตแลนติก หินพวกนี้คือร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ของปากปล่องภูเขาไฟซึ่งถูกน้ำทะเลกัดเซาะตามกาลเวลา ผู้ที่ชอบการเดินป่าน่าจะชอบบริเวณนี้ด้วยเนื่องจากมีเส้นทางเดินให้เลือกมากมาย แต่ละแห่งก็จะมองเห็นโลนตรังการ์ในมุมที่แตกต่างกัน
วันนี้คุณมีตัวเลือกกิจกรรมเสริมที่จะพาคุณไปชมถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ โดยขับรถไปจากโลนตรังการ์ไม่ไกล ที่อุโมงค์ลาวาวาทน์เฮลลิร์ (Vatnshellir) คุณสามารถเดินไปตามเส้นทางเดินที่เคยเป็นทางไหลของแมกมาเมื่อหลายพันปีก่อน
จากนั้นคุณจะไปเที่ยวต่อที่หาดกรวดสีดำตูปาโลนส์ซานดูร์ (Djúpalónssandur) แต่ก่อนที่จะไปถึงชายฝั่งคุณต้องผ่านเส้นทางเขาวงกตอันสวยงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นจากหินลาวาผิวขรุขระ ซึ่งคุณจะรู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าไปอยู่ในเทพนิยายอย่างไม่ต้องสงสัย และชายหาดบริเวณนี้ก็งดงามเช่นกันถึงแม้จะมีบรรยากาศอึมครึมและมีประวัติความเป็นมาออกแนวดาร์กอยู่สักหน่อย เนื่องจากบนหาดยังมีซากเรือลากอวนที่อับปางที่นี่หลงเหลือให้คุณเห็น โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1948 และมีลูกเรือเสียชีวิต 5 คน
คุณจะเดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติสไนล์แฟลซเนส เพื่อไปยังทิศเหนือของคาบสมุทรซึ่งหันหน้าออกไปทางอ่าวเบรดาฟยอร์ดูร์ที่กว้างใหญ่ (Breiðafjörður) อ่าวนี้เป็นที่มีเกาะเล็กเกาะน้อยกระจัดจายไปทั่วและเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำและนกมากมาย และถ้าหากคุณต้องการไปดูสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ตัวใหญ่มหึมาแต่มีนิสัยอ่อนโยน ให้คุณแวะที่หมู่บ้านโอลาปสวิค (Ólafsvík) เพื่อเข้าร่วมทัวร์ดูวาฬที่นั่น
มุ่งหน้าไปยังเมืองชื่อกรุนดาร์ฟยอร์ดูร์ (Grundarfjörður) ที่โอบล้อมด้วยภูเขาสวยงามมากมาย หนึ่งในนั้นคือภูเขาเคิร์คจูแฟส (Kirkjufell) ที่มีรูปทรงเหมือนหัวลูกศร โดยในช่วงหลังๆ มานี้ภูเขาลูกนี้เป็นแลนด์มาร์คที่ได้รับความสนใจมากที่สุดแห่งหนึ่งบนคาบสมุทร เนื่องจากถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์แฟนตาซีเรื่อง Game of Thrones
ต่อมาคุณจะเดินทางไปที่เมืองสติกกิโฮลมูร์ (Stykkishólmur) ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งทะเลที่มีเสน่ห์อีกแห่งหนึ่งเนื่องจากบ้านเรือนที่นี่มีสีสันสดใสและขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเล คืนนี้คุณจะพักค้างคืนในเมืองนี้

วัน 4 - เกาะแฟลทเทย์อันสงบเงียบ
วันนี้คุณจะมุ่งหน้าออกทะเล ล่องเรือข้ามอ่าวเบรดาฟยอร์ดูร์อันงดงามซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขาและเต็มไปด้วยเกาะแก่งมากมายนับไม่ถ้วนที่มีคนอาศัยอยู่แค่ในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น จุดหมายปลายทางของคุณคือหนึ่งในเกาะเหล่านี้ และนั่นก็คือเกาะแฟลทเทย์อันสงบเงียบ
คุณสามารถเลือกได้ว่าจะตรงไปที่เกาะแฟลทเทย์ในช่วงเช้าเลย หรือจะออกเดินทางในช่วงบ่ายและใช้เวลาช่วงเช้าเที่ยวชมพืชพรรณธรรมชาติและสัตว์ที่อาศัยอยู่บนเกาะต่างๆ ในอ่าวเบรดาฟยอร์ดูร์ด้วยการไปร่วมกับทัวร์กินซูชิแบบชาวไวกิ้งที่มีทั้งหอยเชลล์และไข่ปลาสดๆ ให้ชิม
สำหรับการเดินทางจากสติกกิโฮลมูร์เพื่อไปยังเกาะแฟลทเทย์นั้น คุณจะขึ้นเรือเฟอร์รี่บัลเดอร์และมอบกุญแจรถให้กับพนักงานในเรือเพื่อให้พวกเขานำรถไปที่ปรอย์นสไลคูร์ (Brjánslækur) ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของอ่าว เนื่องจากคุณไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถและบนเกาะเล็กๆ ที่ห่างไกลแห่งนี้ก็ไม่มีที่ให้รถวิ่งด้วย
หลังจากล่องเรือไปซักระยะหนึ่งและธารน้ำแข็งสไนล์เฟลล์โจกุลที่มีขนามมหึมาค่อยๆ ลับตา เรือจะจอดเทียบท่าที่แฟลทเทย์ ถนนลูกรังจากท่าเรือจะนำคุณไปสู่หมู่บ้านบนเกาะ ซึ่งดูเหมือนจะหยุดเวลาเอาไว้นานแล้วเพราะบ้านสีสันสดใสที่เรียงรายอยู่ริมถนนเหล่านี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นมากว่าร้อยปีแล้ว
คุณจะได้รับการต้อนรับทักทายจากประชากรที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ประจำตลอดทั้งปี ได้แก่ ฝูงแกะ ไก่ และสุนัขอีกหนึ่งตัวในขณะที่คุณเดินไปยังที่พักสำหรับคืนนี้ ซึ่งเป็นโรงแรมเพียงแห่งเดียวบนเกาะที่ตั้งอยู่บนอ่าวขนาดเล็กชื่อกรีลูโวกูร์ (Grýluvogur) และเมื่อถึงเวลาน้ำลงคุณจะเห็นเด็กๆ ออกมาหาเก็บเปลือกหอย ปู และแมงกะพรุนที่บริเวณชายหาด
ช่วงเย็นคุณสามารถไปใช้บริการร้านอาหารของเกาะ ซึ่งตั้งอยู่ในโกดังเก่าที่ปรับปรุงขึ้นใหม่บนจัตุรัสเก่าแก่ในตลาด หลังจากมื้อเย็น คุณสามารถไปที่บาร์ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงเกลือร้างที่บริเวณโกดัง และใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์เที่ยงคืนให้คุ้มค่าด้วยการเดินเล่นรอบเกาะ ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์ของสถานที่แห่งนี้

วัน 5 - สู่ฟยอร์ดตะวันตกอันห่างไกล
ใช้เวลาช่วงเช้าสำรวจเกาะอันงดงามแห่งนี้ เกาะแฟลทเทย์เต็มไปด้วยนก ซึ่งคุณอาจจะได้พบเห็นนกนางนวลอาร์กติกด้วยก็ได้ แต่ถ้าคุณมองไปที่หน้าผาทางทิศเหนือของเกาะก็อาจจะเจอกับนกพัฟฟินตัวน้อยๆ แทน
เช้าวันนี้คุณอาจจะออกไปเดินเล่นชมธรรมชาติที่ยังไม่ถูกมนุษย์ทำลาย ไปชมภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเป็นเอกลักษณ์ในโบสถ์ของเกาะ และไปเยี่ยมชมห้องสมุดที่มีขนาดเล็กที่สุดในไอซ์แลนด์ก่อนที่คุณจะขึ้นเรือเฟอร์รี่เพื่อเดินทางไปยังฟยอร์ดทางตะวันตก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คนไปเยือนเช่นกัน
หลังจากที่เรือเทียบท่าที่ท่าเรือปรอย์นสไลคูร์ คุณจะไปรับรถและเดินทางต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวลับๆ อีกแห่ง นั่นก็คือสระว่ายน้ำและบ่อน้ำร้อนบีกิเมลูร์ (Birkimelur) ซึ่งเป็นสถานที่งดงามที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำโมรา (Móra) ที่มีแต่ภูเขาที่อยู่ห่างไกลล้อมรอบแบบไม่มีอย่างอื่นมาบดบัง จากนั้นคุณจะไปสำรวจเรยดาซานตูร์ (Rauðasandur) หาดทรายสีแดงสวยที่ทอดตัวจากภูเขาที่ขรุขระยาวไปทางทิศตะวันออกสู่ลาทราบียอร์ก (Látrabjarg) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกสุดของยุโรป
ลาทราบียอร์กยังเป็นหน้าผาที่มีนกอาศัยอยู่มากที่สุดในยุโรปด้วย ที่นี่เป็นบ้านของนกพัฟฟิน นกแกนเนต นกกีลล์ม็อต และนกเรเซอร์บิลหลายล้านตัว และเนื่องจากพื้นที่นี้อยู่ห่างไกลความเจริญ นกพวกนี้จึงไม่ค่อยกลัวอะไร เพราะพวกมันไม่เคยรู้จักศัตรูอื่นนอกเหนือจากสุนัขจิ้งจอกอาร์กติก ทำให้คุณมีโอกาสเข้าไปชมและถ่ายภาพนกพัฟฟินและนกเรเซอร์บิลอย่างใกล้ชิด
เมื่อสิ้นสุดวันที่เต็มไปด้วยเรื่องราวดีๆ มากมาย คุณจะมุ่งหน้าไปยังเมืองชายฝั่งเล็กๆ ชื่อพาเทรคสฟยอร์ดูร์ (Patreksfjörður) และพักค้างคืนที่เมืองนี้

วัน 6 - น้ำตกดินยานดิ
วันที่หกนี้คุณจะตื่นมาในดินแดนแห่งฟยอร์ดในทางตะวันตกอันห่างไกลที่ปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบและความงดงามของภูมิประเทศโดยรอบ เนื่องจากฟยอร์ดเหล่านี้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว การเดินทางในวันนี้ของคุณจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้พบเห็นผู้คนมากนัก ทำให้คุณได้สัมผัสการผจญแบบสันโดษอย่างแท้จริง
วันนี้คุณจะเดินทางลึกเข้าไปในดินแดนแถบนี้ เพื่อไปดูน้ำตกดินยานดิ (Dynjandi) ซึ่งอยู่ที่ด้านล่างของฟยอร์ดอาร์นาร์ฟยอร์ดูร์ (Arnarfjörður) ถนนไปน้ำตกเป็นทางบนเขาที่ขรุขระแต่ก็ทำให้คุณมองลงมาเห็นวิวสวยงามของฟยอร์ดและหุบเขาด้านล่าง
ระหว่างทางคุณสามารถแวะพักและเพลิดเพลินกับน้ำอุ่นและสูดอากาศบริสุทธิ์ของภูเขาที่สระน้ำและอ่างน้ำร้อนจากพลังงานความร้อนใต้พิภพซึ่งมีให้เลือกหลายแห่ง ที่แรกคือสระน้ำพอลลูรินน์ (Pollurinn) ที่อยู่นอกหมู่บ้านทอล์คนาฟยอร์ดูร์ (Tálknafjörður) ที่นี่มองเห็นวิวอันงดงามของภูเขาและฟยอร์ดทอล์คนาฟยอร์ดูร์ได้อย่างชัดเจน ส่วนแห่งที่สองคือสระเรคยาฟยาร์ดาร์เลย (Reykjafjarðarlaug) ซึ่งตั้งอยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันออก และบนเนินหญ้าใกล้สระน้ำจะมีเพิงเล็กๆ ที่หลังคาปกคลุมด้วยหญ้าตามสไตล์เทิร์ฟเฮาส์ของประเทศไอซ์แลนด์ให้คุณได้ดูด้วย
เมื่อคุณเข้าใกล้น้ำตกดินยานดิ ซึ่งเป็นน้ำตกรูปทรงสามเหลี่ยมฐานกว้างเหมือนปิรามิด คุณจะได้ยินเสียงน้ำตกที่ไหลลงจากความสูง 100 ม. (100 ม.) ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณตั้งแต่ที่คุณยังอยู่บนถนนเลยทีเดียว
ใกล้กับน้ำตกเป็นเมืองฮราฟน์เซย์ริ (Hrafnseyri) ซึ่งคุณจะได้เห็นบ้านสไตล์เทิร์ฟเฮาส์ของยอน ซิกูร์ดสัน (Jón Sigurðsson) ผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวเพื่ออิสรภาพของไอซ์แลนด์เมื่อศตวรรษที่ 19 ที่ผ่านการบูรณะซ่อมแซมให้มีสภาพดี คุณยังสามารถขับรถขึ้นเหนือไปอีกนิดเพื่อไปชมพิพิธภัณฑ์นอนเซนส์ (Nonsense Museum) ที่อยู่ในหมู่บ้านแฟลทเทย์ริ (Flateyri) หรือหาดฮอล์ทฟยารา (Holtsfjara) ซึ่งเป็นหาดทรายสีขาวที่เหมาะสำหรับการสร้างปราสาททราย
ที่พักของคุณในคืนนี้อยู่ในหมู่บ้านแฟลทเทย์ริ หรือเมืองอีสาฟยอร์ดูร์ (Ísafjörður) ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง

วัน 7 - เมืองหลวงของฟยอร์ดตะวันตก
วันนี้คุณจะปักหลักอยู่ในอีสาฟยอร์ดูร์ (Ísafjörður) เมืองที่น่าตื่นตาตื่นใจและเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่สุดของฟยอร์ดทางตะวันตก ซึ่งไม่เพียงแต่ร่ำรวยด้านวัฒนธรรมและธรรมชาติเท่านั้น แต่อีสาฟยอร์ดูร์ยังมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจด้วย เพราะอยู่ใกล้กับหมู่บ้านชาวประมงที่ยังรักษาขนบธรรมเนียมแบบดั้งเดิมเอาไว้เป็นอย่างดี
สถานที่โดดเด่นในบริเวณนี้ ได้แก่ โปลุงกาวีค (Bolungarvík) ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์การเดินเรือให้ชม ซูดีเรย์ริ (Suðureyri) ที่มีสระว่ายน้ำ และแฟลทเทย์ริ (Flateyri) ซึ่งเป็นท่าเรือที่มีเรื่องราวอดีตที่น่าสนใจ นอกจากนี้เส้นทางขับรถไปยังสถานที่เหล่านี้จะต้องผ่านอุโมงค์ลอดภูเขาหรือไม่ก็ต้องขับอ้อมฟยอร์ดอันงดงาม
ผู้ที่ต้องการทำกิจกรรมเสริมในวันนี้สามารถไปพายเรือคายัคชมวิวได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ก็สามารถเข้าร่วมได้ นอกจากจะสนุกตื่นเต้นและได้เห็นทิวทัศน์อันสวยงามแล้ว คุณยังมีโอกาสได้เห็นนกทะเล แมวน้ำ หรือแม้กระทั่งวาฬด้วย
นักท่องเที่ยวที่มาเยือนอีสาฟยอร์ดูร์บางคนยังใช้โอกาสนี้ไปเที่ยวเขตอนุรักษ์ธรรมชาติฮอร์นสตรานดิร์ (Hornstrandir) กันด้วย เพราะสามารถเข้าถึงได้จากเมืองอีสาฟยอร์ดูร์เพียงทางเดียวเท่านั้น
คืนนี้พักค้างคืนแถวอีสาฟยอร์ดูร์

วัน 8 - ฟยอร์ดตะวันตก
วันนี้คุณจะขับรถไปตามถนนที่คดเคี้ยวผ่านหมู่บ้านเล็กๆ หลายแห่งของฟยอร์ดอีสาฟยอร์ดูร์ แต่ก่อนจะออกเดินทาง อย่าลืมเที่ยวในเมืองอีสาฟยอร์ดูร์ด้วย เพราะมีบ้านเรือนเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ 18 ให้ชมและยังว่ากันว่ามีอาหารทะเลที่อร่อยที่สุดในไอซ์แลนด์ด้วย
คุณสามารถสัมผัสกลิ่นอายแห่งอดีตของไอซ์แลนด์ได้ที่เกาะวิกูร์ (Vigur) ซึ่งนั่งเรือไปจากอีสาฟยอร์ดูร์ไม่นาน คุณจะได้เห็นว่าผู้คนที่นั่นใช้ประโยชน์จากทั้งผืนดินและผืนน้ำในการเอาชีวิตรอดท่ามกลางสภาพอากาศที่โหดร้ายรุนแรงของประเทศไอซ์แลนด์มาได้อย่างไรโดยที่ไม่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นตัวช่วย เกาะนี้เต็มไปด้วยนกมากมายและคุณอาจจะได้เห็นแมวน้ำที่ริมฝั่งด้วย
ก่อนที่จะเดินทางลงใต้ คุณสามารถขับออกนอกเส้นทางเพื่อไปชมหมู่บ้านโปลุงกาวีค ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการเดินเรือในสมัยศตวรรษที่ 19 ที่นี่มีเครื่องไม้เครื่องมือในการประมง กระท่อมเทิร์ฟที่มีหญ้าปกคลุมหลังคา และภัณฑรักษ์ของพิพิธภัณฑ์ยังแต่งกายในชุดชาวประมงพื้นเมืองแบบดั้งเดิมมาต้อนรับคุณด้วย
ส่วนผู้ที่ชื่นชอบการเดินป่าจะต้องหลงรักภูเขาโบลาฟยอาลล์ (Bolafjall) ที่อยู่แถวหมู่บ้านนี้อย่างแน่นอน เพราะจากบนยอดเขาสามารถมองเห็นวิวที่งดงามมาก โดยในวันที่อากาศแจ่มใส คุณอาจมองเห็นไกลไปถึงกรีนแลนด์เลยทีเดียว
เมื่อพร้อมออกเดินทางบนถนนแล้ว ให้คุณขับไปเรื่อยตามเส้นทางของฟยอร์ดที่คดเคี้ยวจนไปถึงหมู่บ้านโฮลมาวีค (Hólmavík) ซึ่งคืนนี้คุณจะพักค้างคืนที่นั่น

วัน 9 - กลับสู่อารยธรรมสมัยใหม่
ถึงเวลาอำลาฟยอร์ดทางตะวันตกซึ่งเป็นสถานที่ในตำนานของไอซ์แลนด์กันแล้ว วันนี้คุณจะขับรถกลับเรคยาวิก ซึ่งหนทางค่อนข้างยาวไกลแต่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของหุบเขาเขียวขจีของชายฝั่งตะวันตกให้ชื่นชม
ก่อนที่จะกลับเข้าไปอยู่ท่ามกลางความเจริญของเมือง คุณสามารถแวะชมวิถีชีวิตยุคโบราณของคนสมัยหลายพันปีก่อนได้ที่อีริคส์สตาดีร์ (Eiríksstaðir) ที่นั่นมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งและบ้านสไตล์เทิร์ฟเฮาส์แห่งยุคซากาที่มีการบูรณะซ่อมแซมใหม่ ตลอดจนซากปรักหักพังของฟาร์มสมัยโบราณของชนเผ่าไวกิ้งที่เชื่อกันว่าเป็นบ้านของเอริคเดอะเรด (Eric the Red) และเป็นสถานที่ที่เลฟเดอะลัคกี้ (Leif the Lucky) ลูกชายของเขาลืมตามาดูโลกครั้งแรก
ห่างออกไปทางทิศใต้เป็นธารน้ำแข็งลางโจกุล (Langjökull) ธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของไอซ์แลนด์ ซึ่งมีอุโมงค์น้ำแข็งมากมายอยู่ภายใต้ผืนน้ำแข็งยุคโบราณแห่งนี้ด้วย และวันนี้คุณสามารถเลือกลงไปชมอุโมงค์เหล่านี้กับทัวร์เสริมได้ โดยคุณจะได้เข้าไปสำรวจโลกสีฟ้าขาวที่ด้านในของธารน้ำแข็ง
แต่ถ้าหากคุณต้องการสำรวจโลกใต้ดินในแบบอื่น ให้คุณเลือกไปเข้าร่วมกับทัวร์ที่ออกเดินทางจากเมืองเรคยาวิกแทน โดยทัวร์นี้จะพาคุณลงไปชมโถงแมกมาอันว่างเปล่าใต้ภูเขาไฟที่สงบแล้ว คุณจะได้เห็นหินรูปร่างแปลกตาและสีสันที่สดใสของผนังถ้ำ และขนาดที่มหึมาจนน่าตกใจของโถงแมกมา
คืนสุดท้ายที่ไอซ์แลนด์ คุณจะพักในเมืองเรคยาวิก และหากคุณยังไม่เหนื่อยเกินไป คุณสามารถออกไปแฮงก์เอาท์กินดื่มในร้านอาหารและบาร์ที่มีอยู่มากมายในเมือง

วัน 10 - เดินทางกลับบ้าน
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปเที่ยวไอซ์แลนด์ของคุณ ถ้าเที่ยวบินของคุณออกสายหน่อย คุณก็ยังสามารถเที่ยวเมืองเรคยาวิกที่มีชีวิตชีวาแห่งนี้ได้อีกหน่อย เพียงแต่อย่าลืมเผื่อเวลาไปถึงสนามบินเพื่อคืนรถเช่าและเช็คอินขึ้นเครื่องให้ทันก็พอ
ผู้ที่มีเที่ยวบินในช่วงสายสามารถเลือกไปเที่ยวบลูลากูนในวันนี้ได้ เพื่อปิดทริปแบบผ่อนคลายก่อนที่จะเดินทางไปสนามบิน ซึ่งบลูลากูนเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับมาแช่น้ำแร่ร้อนให้ร่างกายหายเมื่อยล้าในขณะที่นึกย้อนไปถึงประสบการณ์การผจญภัยสนุกๆ ที่คุณเพิ่งสัมผัสมาในดินแดนแห่งน้ำแข็งและไฟ หากเที่ยวบินของคุณออกในช่วงเย็นหรือค่ำ คุณก็ยิ่งมีกิจกรรมให้ทำในเรคยาวิกได้อีกมาก แต่หากเที่ยวบินของคุณอยู่ในช่วงเช้า เราก็ขอให้คุณเดินทางกลับบ้านอย่างมีความสุข
หากคุณยังไม่เคยไปชมโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์คยา (Hallgrímskirkja) ขอแนะนำให้ไปที่นั่นในช่วงเช้า สถาปัตยกรรมของโบสถ์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเสาหินบะซอลต์ที่มีอยู่มากมายทั่วไอซ์แลนด์ เหมือนกับที่คุณไปเห็นมาที่แกร์ดูเบิร์ก (Gerðuberg) บนคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส
ฝั่งตรงกันข้ามกับโบสถ์เป็นสวนประติมากรรมผลงานของอีนาร์ โจนาสสัน (Einar Jónasson) ซึ่งเปิดให้เข้าชมฟรี โดยคุณจะได้ใช้เวลาชั่วโมงสุดท้ายในไอซ์แลนด์ดื่มด่ำกับประติมากรรมอันงดงามที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากตำนานและนิทานพื้นบ้าน
เมื่อถึงเวลาต้องออกเดินทาง คุณจะขับรถผ่านทะเลทรายลาวาสีดำบนคาบสมุทรเรคยาเนสเพื่อเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติเคฟลาวิก ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ และพบกันใหม่ที่ไอซ์แลนด์ในเร็วๆ นี้
สิ่งที่ควรนำไป
สิ่งที่ควรรู้
ที่พักบนเกาะแฟลทเทย์มีจำนวนจำกัดและไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะมีห้องว่างหรือไม่ ในกรณีที่โรงแรมบนเกาะแฟลทเทย์ถูกจองเต็มหมดในช่วงที่คุณเดินทาง คุณจะขึ้นเรือเฟอร์รี่บัลเดอร์ (Baldur) ไปยังเกาะแฟลทเทย์ในช่วงเช้าเพื่อเที่ยวบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ก่อน จากนั้นค่อยขึ้นเรือเฟอร์รี่ในช่วงบ่ายอีกครั้งเพื่อเดินทางไปยังฟยอร์ดทางตะวันตก ซึ่งคุณจะพักค้างคืนที่โรงแรมในบริเวณนี้แทน
แพ็คเกจขับรถเที่ยวด้วยตัวเองนี้สามารถเริ่มออกเดินทางได้ทั้งจากในตัวเมืองเรคยาวิกและจากสนามบินนานาชาติเคฟลาวิก ทั้งนี้คนขับจะต้องมีใบอนุญาตขับขี่ที่ยังไม่หมดอายุและมีประสบการณ์ในการขับรถบนถนนอย่างน้อย 1 ปี อย่างไรก็ตามรายละเอียดการเดินทางที่คุณได้รับอาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับวันเวลาที่คุณเดินทางมาถึงไอซ์แลนด์ด้วย
แม้ว่าคุณจะมาเที่ยวในช่วงฤดูร้อน แต่อากาศในไอซ์แลนด์นั้นก็ยากที่จะคาดเดาได้ถูก ดังนั้นกรุณาเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมติดตัวมาด้วย
สำหรับการไปเที่ยวภูเขาไฟทรีฮนูคาร์กีกูร์ (Þríhnjúkagígur) ห้ามสวมใส่ผ้าคอตตอนหรือผ้ายีนส์ทับที่ชั้นนอก กรุณาสวมเสื้อผ้าที่กันน้ำได้และสวมรองเท้าสำหรับปีนเขาที่มีความคงทนแข็งแรง อุณหภูมิภายในปล่องภูเขาไฟมักจะอยู่ที่ 5–6°C (42–43°F) และคุณจะต้องเดินขึ้นเขาเป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร (2 ไมล์) ต่อเที่ยว ซึ่งใช้เวลาเดินประมาณ 45–50 นาที (ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนในคณะทัวร์) ระหว่างที่เดินนี้จะมีไกด์ดูแลตลอดเวลา
ที่พัก
ดูระดับของที่พักของเราที่ด้านล่างนี้ และดูรายชื่อผู้ให้บริการที่พักที่เราแนะนำได้ที่ใต้แผนการเดินทางในแต่ละวัน ที่พักระดับซูเปอร์บัดเจทจะเป็นโฮสเทลและเตียงนอนแบบหอพักรวม ส่วนระดับอื่นๆ นั้น หากจองเข้าพักเพียงท่านเดียวจะได้รับห้องแบบซิงเกิล หากจองเข้าพักสองท่านขึ้นไปจะได้ห้องพักที่มีเตียงทวิน/เตียงดับเบิ้ล หรือเตียงทริปเปิ้ล
สำหรับวัยรุ่นและเด็กจะถูกจัดให้พักห้องเดียวกับผู้ปกครอง หากต้องการห้องเพิ่มจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เมื่อคุณทำการจองกับเรา Guide to Iceland จะจัดหาที่พักที่ดีที่สุดจากพันธมิตรที่เราแนะนำให้กับคุณ ทั้งนี้ คุณภาพของโรงแรมที่พักในแต่ละพื้นที่ของไอซ์แลนด์อาจมีความแตกต่างกัน และเนื่องจากจำนวนที่พักมีอยู่อย่างจำกัดมาก หากที่พักพันธมิตรที่เราแนะนำถูกจองเต็มหมดแล้วในวันที่คุณต้องการ เราจะจัดหาที่พักอื่นที่อยู่ในระดับเดียวกันให้กับคุณตามความเหมาะสม
ที่พักระดับควอลิตี้นั้นไม่ได้มีให้บริการในทุกพื้นที่ หากไม่มีที่พักระดับควอลิตี้ในพื้นที่ที่คุณต้องการ เราจะจัดหาที่พักระดับคอมฟอร์ทให้แทน โดยจะเลือกอัปเกรดห้องให้มีราคาสอดคล้องกับที่พักระดับควอลิตี้ เราจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อหาที่พักให้ตรงกับความต้องการพิเศษที่คุณมี ซึ่งบางครั้งอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม กรุณาระบุวันที่ที่คุณต้องการเดินทางเพื่อตรวจสอบจำนวนที่ว่าง
ห้องพักพร้อมห้องน้ำรวมในฟาร์มเฮ้าส์ เกสต์เฮ้าส์ หรือโฮสเทล อยู่ในทำเลดีใกล้สถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุด ไม่รวมอาหารเช้า
ห้องพักพร้อมห้องน้ำส่วนตัวในโรงแรมระดับ 3 ดาว หรือเกสต์เฮาส์คุณภาพ ทำเลใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุด รวมอาหารเช้า
รถ
ด้านล่างนี้คือตัวเลือกการเช่ารถสำหรับทัวร์ขับรถเที่ยวเอง รถทุกคันของเราเป็นรถรุ่นใหม่หรือรุ่นปัจจุบัน โดยมีอายุไม่เกิน 2 ปี รถระดับซูเปอร์บัดเจทจะมาพร้อมกับประกันที่มีค่าเสียหายส่วนแรก (CDW) ซึ่งเป็นประกันมาตรฐาน ในขณะที่ระดับอื่นๆ ทั้งหมดจะรวมประกันกรวด (GP) และประกันประเภทไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก (SCDW)
ข้อควรรู้: การขับรถออกนอกเขตถนนถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายสำหรับรถยนต์ทุกประเภท รถทุกระดับมี GPS และ Wi-Fi ให้ฟรี คุณสามารถเพลิดเพลินกับการใช้อินเทอร์เน็ตได้ไม่จำกัดด้วยอุปกรณ์ Wi-Fi ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้สูงสุด 10 เครื่องพร้อมกัน ผู้ให้บริการรถเช่ามีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนถนนตลอด 24 ชั่วโมง ข้อกำหนดด้านอายุของผู้ขับขี่สำหรับแต่ละระดับสามารถดูได้ที่ด้านล่าง แต่ไม่ว่ารถระดับใด ผู้ขับขี่จะต้องมีใบอนุญาตขับขี่ที่ถูกต้องอย่างน้อยหนึ่งปีก่อนวันที่เช่า เราขอแนะนำให้เลือกใช้รถระดับบัดเจทแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สำหรับการขับขี่ในฤดูร้อน และระดับคอมฟอร์ทแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สำหรับการขับขี่ในฤดูหนาว
รถขนาดเล็กขับเคลื่อนสองล้อ เช่น Toyota Aygo หรือรุ่นใกล้เคียง เหมาะสำหรับการเดินทางประจำวันทั่วไป มีขนาดกะทัดรัดและสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารไม่เกิน 2 คน พร้อมกระเป๋าสัมภาระไม่มาก ไม่สามารถขับขี่ในไฮแลนด์ได้ ผู้ขับขี่ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
รถขนาดมาตรฐานขับเคลื่อน 2 ล้อ เช่น Toyota Yaris หรือรุ่นใกล้เคียง เหมาะสำหรับการเดินทางประจำวันทั่วไป มีความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสาร 3 คน พร้อมกระเป๋าสัมภาระไม่มาก ไม่สามารถขับขี่ในไฮแลนด์ได้ ผู้ขับขี่ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
รถจี๊ปหรือเอสยูวีขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดมาตรฐาน เช่น Dacia Duster หรือรุ่นใกล้เคียง มีความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารไม่เกิน 3 คน พร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 2 ใบ เหมาะสำหรับการเดินทางเกือบทุกแบบ รวมถึงการขับขี่บนหิมะและถนนลาดยาง สามารถขับขี่แบบพื้นฐานในไฮแลนด์ได้ ผู้ขับขี่ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
รถจี๊ปหรือเอสยูวีขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดกลาง เช่น Toyota Rav4 (เกียร์อัตโนมัติ) Suzuki Vitara (เกียร์ธรรมดา) หรือรุ่นใกล้เคียง มีความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารไม่เกิน 4 คน พร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 3 ใบ เหมาะสำหรับการเดินทางเกือบทุกแบบ รวมถึงการขับขี่บนหิมะและถนนลาดยาง สามารถขับขี่แบบพื้นฐานในไฮแลนด์ได้ ผู้ขับขี่ต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป
รถจี๊ปขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดใหญ่ เช่น Toyota Land Cruiser หรือรุ่นใกล้เคียง มีความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารไม่เกิน 4 คน พร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 4 ใบ เหมาะสำหรับการเดินทางเกือบทุกแบบ สามารถขับขี่ในไฮแลนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ขับขี่ต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป
รถตู้ขนาดใหญ่ 9 ที่นั่ง เช่น Mercedes Benz Vito หรือรุ่นใกล้เคียง (ขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์ธรรมดา สามารถขับขี่ในไฮแลนด์ได้) รองรับผู้โดยสารได้ 5-7 คน นั่งสบายและเหมาะสำหรับการขับขี่ในฤดูหนาว หากจำนวนผู้โดยสารเต็มทุกที่นั่งจะมีพื้นที่เก็บสัมภาระลดน้อยลง ผู้ขับขี่ต้องมีอายุ 23 ปีขึ้นไป