ทัวร์ขับรถตามหาแสงเหนือในฤดูหนาว 12 วัน รอบถนนวงแหวนและคาบสมุทรสไนแฟลซเนส

ยินดีต้อนรับสู่ไอซ์แลนด์!

เมื่อเดินทางมาถึงสนามินนานาชาติเคฟลาวิก (KEF) การผจญภัยด้วยการขับรถเที่ยวฤดูหนาวของคุณก็เริ่มต้นขึ้น

หลังรับรถเช่าแล้ว มุ่งหน้าไปยังเรคยาวิก ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีจากสนามบิน ระหว่างทางไปเรคยาวิก หากมีเวลา สามารถแวะเที่ยวคาบสมุทรเรคยาเนส (Reykjanes Peninsula) ได้

หรือเลือกไปแวะที่บลูลากูน (Blue Lagoon) บ่อน้ำร้อนชื่อดังระดับโลกเพื่อเริ่มทริปไอซ์แลนด์แบบผ่อนคลายก็ได้ การเพิ่มบัตรเข้าใช้บริการบลูลากูนช่วยให้คุณได้ผ่อนคลายในน้ำสีฟ้าน้ำนมอุ่นๆ ท่ามกลางทุ่งลาวาที่ปกคลุมด้วยมอสส์สุดงดงาม

หากต้องการประสบการณ์พรีเมียม คุณสามารถอัปเกรดเป็นบัตรเข้าใช้บริการแบบพรีเมียมเพื่อรับเครื่องดื่ม 2 แก้ว และสปาร์กลิงไวน์ 1 แก้วเมื่อรับประทานอาหารที่ Lava Restaurant หากวันนี้เวลาไม่พอ ที่ปรึกษาท่องเที่ยวประจำตัวสามารถจัดสรรวันอื่นในแผนให้ได้อย่างง่ายดาย

หากต้องการประสบการณ์สปาใกล้เรคยาวิกขึ้นอีกนิด สกายลากูน (Sky Lagoon) ในเมืองโคปาโวกูร์ (Kopavogur) เป็นตัวเลือกหรูหราที่น่าสนใจ ที่นี่มีสระอินฟินิตีที่มองออกไปเห็นวิวมหาสมุทรแอตแลนติกสุดตระการตา

อย่าลืมลอง “พิธีสปา 7 ขั้นตอน” ซึ่งรวมถึงซาวน่าและการแช่น้ำเย็นเพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัส สามารถเลือกบัตรเข้าใช้บริการแบบมาตรฐาน หรืออัปเกรดเป็นตัวเลือกพรีเมียมที่มีห้องแต่งตัวส่วนตัว

เมื่อเดินทางถึงเรคยาวิก เมืองหลวงสุดมีเสน่ห์ของไอซ์แลนด์ คุณสามารถเริ่มสำรวจวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ทันที ทั้งแกลเลอรี ร้านบูติก และคาเฟ่บรรยากาศอบอุ่นที่เหมาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว

แลนด์มาร์กสำคัญที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ โบสถ์ฮัลล์กริมสคิร์กยา (Hallgrimskirkja Church) โบสถ์ที่ได้แรงบันดาลใจจากเสาหินบะซอลต์ พร้อมจุดชมวิวพาโนรามาบนยอดหอคอย และซันโวยาจเจอร์ (Sun Voyager) ประติมากรรมรูปเรือไวกิ้งสมัยใหม่ที่สื่อถึงจิตวิญญาณแห่งการสำรวจ ตั้งอยู่ริมทะเลพร้อมฉากหลังอันงดงาม

หากต้องการพักหลังจากเที่ยวบินยาวนาน คุณสามารถเช็คอินเข้าที่พักในเรคยาวิกและพักผ่อนตามอัธยาศัย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นในวันถัดไป

ในวันที่สอง คุณจะมุ่งหน้าไปยังเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดของไอซ์แลนด์อย่างวงกลมทองคำ เส้นทางนี้มีแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกถึงสามแห่ง และโด่งดังด้วยเหตุผลที่ดี

ทริปวงกลมทองคำของคุณเริ่มต้นที่อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์ (Thingvellir National Park) มรดกโลกแห่งแรกของไอซ์แลนด์ และยังเป็นสถานที่กำเนิดรัฐสภาที่ดำเนินงานยาวนานที่สุดในโลก

นอกจากประวัติศาสตร์อันล้ำค่าแล้ว ธิงเวลลีร์ยังตั้งอยู่ระหว่างรอยแยกของแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือและยูเรเชีย ทำให้พื้นที่เต็มไปด้วยภูมิประเทศอันโดดเด่น เช่น หุบผาชัน หุบเขา และทุ่งลาวา 

เมื่อไปเที่ยวธิงเวลลีร์ ห้ามพลาดการดำน้ำสน็อกเกิลที่รอยแยกซิลฟรา (Silfra Fissure) หนึ่งในจุดดำน้ำสน็อกเกิลที่ดีที่สุดในโลก น้ำพุธรรมชาติที่นี่บริสุทธิ์มากจนมองเห็นได้ไกลกว่า 100 เมตร

ชุดดรายสูทช่วยให้ประสบการณ์สนุกและปลอดภัย แต่ต้องมั่นใจว่าคุณเองสามารถว่ายน้ำและอยู่ในน้ำได้อย่างสบาย

จากนั้นมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเฮยคาดาลูร์ (Haukadalur Valley) ซึ่งเป็นที่ตั้งของพื้นที่ความร้อนใต้พิภพไกเซอร์ (Geysir Geothermal Area) แม้น้ำพุร้อนไกเซอร์ (Great Geysir) จะไม่ค่อยปะทุแล้ว แต่ไกเซอร์สโทรคูร์ (Strokkur) ที่อยู่ใกล้กันยังคงสร้างความตื่นตา ด้วยการปะทุทุกไม่กี่นาที พ่นน้ำสูงราว 30 เมตร

ขับรถต่ออีกเล็กน้อยจะถึงจุดสุดท้ายของทริปเที่ยววงกลมทองคำ นั่นคือน้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss Waterfall) หนึ่งในน้ำตกที่งดงามที่สุดของไอซ์แลนด์ กระแสน้ำตกลงสู่หุบเขาแบบสองชั้นอย่างทรงพลัง และมีจุดชมวิวหลายแห่งให้ถ่ายภาพในหลายมุม

คุณยังสามารถเพิ่มความสนุกให้ทริปด้วยกิจกรรมแอดเวนเจอร์พร้อมไกด์บนธารน้ำแข็งสองแบบ ซึ่งทัวร์ทั้งสองโปรแกรมนี้มีจุดเริ่มต้นที่กุลล์ฟอสส์ เลือกผจญภัยสำรวจในถ้ำน้ำแข็ง หรือขี่สโนว์โมบิลบนธารน้ำแข็งลางโจกุล (Langjokull Glacier) 

การสำรวจถ้ำน้ำแข็งธรรมชาติจะเดินทางด้วยรถมอนสเตอร์ทรัก คุณจะนั่งรถออฟโรดขนาดใหญ่ที่ออกแบบพิเศษ มุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางธารน้ำแข็งแบบไม่เหมือนใคร

แม้สถานที่ที่กล่าวข้างต้นจะเป็นไฮไลต์ของวันนี้ แต่พื้นที่โดยรอบยังเต็มไปด้วยสถานที่สวยงามอีกมาก

หากต้องการผ่อนคลาย ลองแวะเลยการ์วาทน์ฟอนทานาสปา (Laugarvatn Fontana Spa) เพื่อแช่น้ำแร่ร้อน พร้อมชมวิวทะเลสาบเลยการ์วาทน์และธารน้ำแข็งลางโจกุลอันงดงามที่อยู่ไกลออกไป

เมื่อไปที่เลยการ์วาทน์ฟอนทานาสปา อย่าลืมลองขนมปังไรย์อบด้วยความร้อนจากใต้พิภพ ซึ่งเป็นรสชาติแบบไอซ์แลนด์ดั้งเดิมแท้ๆ

ก่อนมุ่งหน้าไปยังที่พักในไอซ์แลนด์ตะวันตกเฉียงใต้ คุณสามารถขับออกนอกเส้นทางไปยังปล่องภูเขาไฟเคริด (Kerid Crater) ปล่องภูเขาไฟที่มีทะเลสาบสีฟ้าครามโดดเด่น หรือจะแวะซีเคร็ตลากูน (Secret Lagoon) ในฟลูดิร์ (Fludir) เพื่อสัมผัสบ่อน้ำร้อนบรรยากาศสงบและมีผู้คนน้อยกว่าบลูลากูน

เมื่อวันใกล้สิ้นสุด อย่าลืมเงยหน้ามองท้องฟ้า เพราะในฤดูหนาว แสงเหนือสามารถปรากฏให้เห็นได้ในหลายพื้นที่ของไอซ์แลนด์ โดยเฉพาะบริเวณที่ห่างไกลจากแสงไฟของเมือง

วันที่สามของการเดินทางขับรถเที่ยวตามถนนวงแหวน คุณจะมุ่งหน้าไปตามชายฝั่งทางใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดของไอซ์แลนด์ วันนี้มีสถานที่ให้แวะชมจำนวนมาก จึงควรออกเดินทางแต่เช้า

วันของคุณเริ่มต้นที่น้ำตกเซลยาแลนด์สฟอสส์ (Seljalandsfoss Waterfall) น้ำตกสูง 61 เมตรแห่งนี้งดงามเป็นพิเศษในฤดูหนาวเมื่อถูกโอบล้อมด้วยน้ำแข็งและหิมะ

คุณสามารถเดินอ้อมน้ำตกเพื่อชมความงดงามจากทุกมุม เส้นทางนี้มักปิดในช่วงฤดูหนาวและจะเปิดจนถึงฤดูใบไม้ร่วง หากคุณมาเยือนระหว่างเดือนกันยายนถึงต้นพฤศจิกายน นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

ไม่ไกลกันคือน้ำตกกลูยฟราบูอิ (Gljufrabui Waterfall) ที่ซ่อนตัวอยู่ในแคนยอน เหมาะสำหรับการชมบรรยากาศเงียบสงบแบบใกล้ชิด

ขับต่อไปอีกเล็กน้อย คุณจะพบกับน้ำตกสโคกาฟอสส์ (Skogafoss Waterfall) ที่ทรงพลัง กว้าง 82 ฟุต และมีละอองน้ำที่มักก่อให้เกิดสายรุ้งในวันที่มีแดด คุณยังสามารถเดินเข้าไปชมใกล้ๆ บริเวณฐานที่สายน้ำตกกระทบพื้นได้อีกด้วย

ระหว่างทางไปหมู่บ้านวิก (Vik Village) คุณมีสองตัวเลือกที่น่าตื่นเต้นเพื่อเพิ่มสีสันให้การเดินทาง เลือกขี่สโนว์โมบิลบนธารน้ำแข็งมิร์ดาลสโจกุล (Myrdalsjokull Glacier) เพื่อความเร้าใจ หรือเข้าร่วมทัวร์ที่มีไกด์นำเดินบนธารน้ำแข็งโซลเฮมาโจกุล (Solheimajokull Glacier) เพื่อสัมผัสความงดงามของน้ำแข็งอย่างใกล้ชิด ทั้งสองกิจกรรมเป็นแบบมีไกด์ ทำให้คุณสามารถผจญภัยอย่างปลอดภัยและเต็มอิ่มกับภูมิประเทศน้ำแข็งอันงดงามของไอซ์แลนด์

สถานที่ถัดไปตามเส้นทางคือหาดทรายดำเรย์นิสฟยารา (Reynisfjara Beach) ชายฝั่งทะเลสีดำอันสวยงามที่เกิดจากภูเขาไฟ ชายหาดแห่งนี้เต็มไปด้วยลวดลายหินลาวาที่น่าทึ่ง เช่น ซุ้มประตูหินดิร์โฮลาเอย์ (Dyrholaey Rock Arch) และแท่งหินทะเลเรย์นิสดรังการ์ (Reynisdrangar Sea Stacks) แวะที่นี่เพื่อถ่ายภาพสุดประทับใจและซึมซับทิวทัศน์อันสวยงามที่ถูกสรรค์สร้างโดยพลังของภูเขาไฟและท้องทะเล

เมื่อมาถึงวิก คุณสามารถพักผ่อนและไปลองชิมเมนูท้องถิ่นในร้านอาหารต่างๆ ของหมู่บ้าน เช่น plokkfiskur (สตูว์ปลา) หากต้องการความท้าทายมากขึ้น ลองเข้าร่วมทัวร์เที่ยวถ้ำน้ำแข็งใกล้ๆ เพื่อสำรวจชั้นน้ำแข็งสีน้ำเงินที่งามเหนือจริง พร้อมเรียนรู้เกี่ยวกับธารน้ำแข็งอย่างใกล้ชิด

เดินทางต่อ คุณจะถึงเขตอนุรักษ์ธรรมชาติสกัฟตาเฟลล์ (Skaftafell Nature Reserve) ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล (Vatnajokull National Park) พื้นที่อันงดงามแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องภูมิทัศน์ที่หลากหลาย ตั้งแต่หุบเขาเขียวชอุ่ม ธารน้ำแข็ง จนถึงภูเขาและน้ำตก หนึ่งในเส้นทางเดินชมธรรมชาติที่ได้รับการแนะนำมากที่สุดคือเส้นทางสู่น้ำตกสวาร์ติฟอสส์ (Svartifoss Waterfall) ที่ไหลผ่านแนวแท่งหินบะซอลต์หกเหลี่ยมอันโดดเด่น

ที่สกัฟตาเฟลล์ คุณมีตัวเลือกกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินธารน้ำแข็งเพื่อชมการก่อตัวของน้ำแข็งอย่างใกล้ชิด หรือจองทัวร์ชมวิวจากเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์เพื่อชมทิวทัศน์เหนือธารน้ำแข็งวัทนาโจกุลและพื้นที่โดยรอบอันน่าทึ่งจากมุมสูง

ขับรถต่อไปทางตะวันออก คุณจะไปถึงทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาร์ลอน (Jokulsarlon Glacier Lagoon) เพื่อชมภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่แตกตัวมาจากวัทนาโจกุล ซึ่งเป็นแผ่นน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ทะเลสาบแห่งนี้เป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ควรพลาด เปิดมุมมองอันน่าหลงใหลของภูเขาน้ำแข็งลอยน้ำท่ามกลางฉากหลังของธารน้ำแข็ง

อย่าพลาดแวะที่หาดไดมอนด์ (Diamond Beach) ใกล้ๆ กัน ซึ่งเป็นจุดที่ภูเขาน้ำแข็งจากทะเลสาบโจกุลซาร์ลอนลอยออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติก ก่อนถูกคลื่นพัดขึ้นฝั่ง ก้อนน้ำแข็งที่กระจัดกระจายบนทรายดำเปล่งประกายราวกับอัญมณี เป็นฉากที่สวยงามเหมาะสำหรับการถ่ายภาพ

ท้ายที่สุด คุณจะเข้าที่พักในไอซ์แลนด์ตะวันออกเฉียงใต้ อย่าลืมมองท้องฟ้าเผื่อมีโอกาสได้ชมแสงเหนือที่อาจปรากฏขึ้นเหนือภูมิประเทศ เป็นการปิดท้ายวันที่สวยงามอย่างสมบูรณ์แบบ

ในวันที่สี่ของการเดินทางขับรถเที่ยวฤดูหนาวในไอซ์แลนด์ คุณจะออกเดินทางสู่เขตอีสต์ฟยอร์ด (Eastfjords) ดินแดนที่นักท่องเที่ยวไปเยือนน้อยกว่าแต่เปี่ยมด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล

ระหว่างขับรถผ่านภูมิภาคนี้ คุณจะได้ชมเส้นทางอันน่าตื่นตาตื่นใจที่ทอดตัวระหว่างภูเขาสูงตระหง่านและมหาสมุทรกว้างใหญ่ อีสต์ฟยอร์ดเป็นหนึ่งในพื้นที่ห่างไกลที่สุดของไอซ์แลนด์ เต็มไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์และวัฒนธรรมที่เป็นมิตร

ก่อนออกเดินทางจากเมืองเฮิพน์ (Hofn) คุณสามารถเลือกผจญภัยด้วยการขี่สโนว์โมบิลบนธารน้ำแข็งวัทนาโจกุล (Vatnajokull Glacier) โดยนั่งซูเปอร์จี๊ปขึ้นไปบนธารน้ำแข็ง เป็นประสบการณ์สุดเร้าใจในการสัมผัสหนึ่งในมหัศจรรย์ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของไอซ์แลนด์

เดินทางต่อไป ถนนจะพาคุณผ่านยอดเขาอันโดดเด่นสองแห่งของไอซ์แลนด์ ได้แก่ เอสตราฮอร์น (Eystrahorn) และเวสตราฮอร์น (Vestrahorn) ระหว่างผ่านบริเวณนี้ อย่าลืมหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพทิวทัศน์สุดตระการตาของภูเขาที่เหมือนผุดขึ้นจากทะเลโดยตรง

ระหว่างทาง คุณสามารถแวะที่ชุมชนดยูปิวอกูร์ (Djupivogur) ซึ่งเป็นที่ตั้งของผลงานศิลปะกลางแจ้งสมัยใหม่ “The Eggs of Merry Bay” ประกอบด้วยประติมากรรมไข่ขนาดใหญ่ 34 ใบเรียงรายตามแนวชายฝั่ง โดยแต่ละใบแทนสายพันธุ์นกท้องถิ่น

จากนั้นมุ่งหน้าไปยังป่าฮัลลอร์มส์สตาดาสโคกูร์ (Hallormsstadaskogur Forest) ซึ่งเป็นป่าที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ คุณสามารถเดินเล่นท่ามกลางต้นไม้สูงใหญ่และภูมิทัศน์ที่เงียบสงบ

ถัดไปคือเฮงกิฟอสส์ (Hengifoss) หนึ่งในน้ำตกที่สูงที่สุดของไอซ์แลนด์ จุดเด่นคือชั้นหินสีแดงที่ปรากฏเป็นชั้นๆ บนหน้าผารอบน้ำตก สร้างภาพธรรมชาติอันงดงามน่าประทับใจ

เมื่อเดินทางมาถึงเมืองเอกิลสตาดีร์ (Egilsstadir) ศูนย์กลางของไอซ์แลนด์ตะวันออก คุณจะพบกับเมืองเล็กน่ารักที่รายล้อมด้วยป่า ทะเลสาบ และฟยอร์ดงดงาม หากมีเวลา สามารถขับรถออกไปยังชายฝั่งได้

หนึ่งในสถานที่ที่ควรแวะคือบอร์การ์ฟยอร์ดูร์ เอสทรี (Borgarfjordur Eystri) ฟยอร์ดที่มีนกนานาชนิดอาศัยอยู่ หากคุณมาในฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูใบไม้ร่วง จะมีโอกาสได้ชมธรรมชาติที่น่าทึ่งแห่งนี้ โปรดทราบว่าการขับรถจากเอกิลสตาดีร์ไปบอร์การ์ฟยอร์ดูร์ เอสทรี ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมง

ระหว่างอยู่ในเอกิลสตาดีร์ อย่าพลาดการผ่อนคลายที่เวิกบาธส์ (Vok Baths) สปาน้ำพุร้อนที่ตั้งอยู่บนทะเลสาบอูริดาวัทน์ (Lake Urridavatn) แช่ตัวในน้ำแร่ร้อนท่ามกลางวิวทิวทัศน์กว้างไกลของธรรมชาติรอบตัว เป็นวิธีที่เหมาะอย่างยิ่งในการคลายความเหนื่อยล้าหลังวันแห่งการสำรวจ

ยามค่ำคืน ลองมองท้องฟ้าเพื่อชมแสงเหนือ จากนั้นกลับที่พักอันสะดวกสบาย พักผ่อนให้เต็มที่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอีกหนึ่งวันอันน่าตื่นเต้นของการเดินทางขับรถเที่ยวฤดูหนาวในไอซ์แลนด์

ในวันที่ห้าของทริปขับรถเที่ยวไอซ์แลนด์ เตรียมมุ่งหน้าเข้าสู่ความงดงามของไอซ์แลนด์ทางเหนือกันได้เลย

ก่อนจะโบกมือลาอีสต์ฟยอร์ด แนะนำให้ใช้เวลาเดินชมเมืองเอกิลสตาดีร์และพื้นที่รอบๆ แวะพิพิธภัณฑ์อีสต์ไอซ์แลนด์เฮอริเทจ (East Iceland Heritage Museum) เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของภูมิภาค

จากนั้นมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบลาการ์ฟลยอต (Lake Lagarfljot) ทะเลสาบสวยงามที่มีตำนานเล่าขานถึงอสูรกายยักษ์ที่อาศัยอยู่ใต้ผืนน้ำ หากเมื่อวานคุณยังไม่มีโอกาส แวะไปยังฟยอร์ดบอร์การ์ฟยอร์ดูร์ เอย์สตรี (Borgarfjordur Eystri) ก็เป็นอีกเส้นทางชมวิวที่ไม่ควรพลาด

เมื่อออกจากอีสต์ฟยอร์ด เส้นทางจะพาคุณเข้าสู่ไฮแลนด์อันงดงามตามถนนหมายเลข 1 ทิวทัศน์ตลอดทางเต็มไปด้วยพื้นที่กว้างใหญ่และภูมิประเทศที่ดูขรุขระแบบธรรมชาติ พร้อมวิวอลังการทั่วสองฝั่งทาง ระหว่างทางอาจได้เห็นกวางเรนเดียร์ป่าที่ออกหากินอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้การเดินทางครั้งนี้พิเศษขึ้นไปอีก

จุดหมายแรกของคุณทางตอนเหนือคือทะเลสาบมิวาทน์ (Lake Myvatn) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของภูมิภาค เมื่อเดินทางมาถึง คุณจะพบกับทุ่งกว้างใหญ่ไพศาลเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ของธรรมชาติและภูมิประเทศทางธรณีวิทยาอันหลากหลาย พรุ่งนี้คุณมีเวลาทั้งวันในการสำรวจพื้นที่รอบทะเลสาบ ดังนั้นวันนี้ขอให้ผ่อนคลายเสียหน่อยหลังจากการท่องเที่ยวแบบจัดเต็ม

แช่น้ำอุ่นให้สบายที่บ่อน้ำพุร้อนเอิร์ธลากูน (Earth Lagoon) บัตรเข้าใช้บริการช่วยให้คุณเพลิดเพลินกับน้ำแร่ธรรมชาติอุ่นๆ ที่อุดมด้วยแร่ธาตุ ช่วยคลายความล้า พร้อมชมวิวภูเขาไฟและทะเลสาบมิวาทน์อันเงียบสงบ

ยามค่ำคืน คุณอาจเลือกร่วมทัวร์ล่าแสงเหนือด้วยรถซูเปอร์จี๊ป พร้อมไกด์ผู้เชี่ยวชาญที่จะพาคุณออกสู่พื้นที่ห่างไกล เพิ่มโอกาสให้ได้เห็นแสงออโรร่าในมุมที่งดงามที่สุด

หลังจากนั้นเดินทางกลับที่พักอันแสนสบายในไอซ์แลนด์ทางตะวันออกเฉียงเหนือ เตรียมตัวสำหรับการผจญภัยในวันถัดไป

วันนี้เป็นวันที่เจ็ดของทริปขับรถเที่ยวไอซ์แลนด์ช่วงฤดูหนาว เส้นทางยังคงพาออกเดินทางผ่านทิวทัศน์อันงดงามของภาคเหนือ ปลายทางถัดไปคือเมืองอาคูเรย์ริ เมืองใหญ่ประจำภูมิภาคที่หลายคนเรียกว่า “เมืองหลวงแห่งภาคเหนือ”

การขับรถจากเขตทะเลสาบมิวาทน์ไปยังอาคูเรย์ริใช้เวลาน้อยกว่าสองชั่วโมง ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางยังมีจุดแวะเที่ยวและเส้นทางสวยๆ ให้แวะออกนอกเส้นทางได้ตามใจ

หนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมคือเมืองฮูสาวิก เมืองเล็กๆ ที่ได้รับฉายาว่าเมืองหลวงแห่งการชมวาฬของไอซ์แลนด์ ท่าเรือสวยงาม บ้านเรือนสีสด และวิวภูเขาที่ล้อมรอบทำให้ที่นี่เหมาะแก่การแวะพักชมเมือง

อย่าลืมแวะลิ้มลองอาหารพื้นเมือง เช่น Plokkfiskur (สตูว์ปลา) สตูว์เนื้อแกะ หรือสกีร์ (ของหวานเนื้อคล้ายโยเกิร์ตแต่เข้มข้นกว่า)

หากเดินทางระหว่างมีนาคม–เมษายน หรือกันยายน–พฤศจิกายน สามารถเข้าร่วมทัวร์ชมวาฬจากฮูสาวิกได้ เรือไม้แบบดั้งเดิมจะพาออกสู่ทะเลเพื่อชมวาฬอย่างใกล้ชิด โดยมีอ่าวสกาลฟานดิ (Skjalfandi Bay) เป็นฉากหลังอันงดงาม

หรือถ้าอยากผ่อนคลาย แนะนำให้แวะอาบน้ำร้อนที่จีโอซีจีโอเธอร์มอลบาธส์ (Geosea Geothermal Baths) แช่น้ำแร่ธรรมชาติอุ่นสบายพร้อมชมวิวอ่าวและเทือกเขาแบบกว้างสุดสายตา

จากนั้นกลับขึ้นถนนหลักเพื่อแวะที่พิพิธภัณฑ์ยานพาหนะ (Ystafell Transportation Museum) ที่นี่จัดแสดงรถโบราณชนิดต่างๆ พร้อมเล่าเรื่องราวพัฒนาการด้านการคมนาคมของไอซ์แลนด์

ระหว่างทางยังสามารถแวะน้ำตกโกดาฟอสส์ (Godafoss) หนึ่งในน้ำตกที่โดดเด่นที่สุดของประเทศ ได้รับสมญาว่า “น้ำตกแห่งทวยเทพ” น้ำตกโกดาฟอสส์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่อยู่ระหว่างฮูสาวิกและอาคูเรย์ริ

โกดาฟอสส์มีความกว้างราว 30 เมตร สายน้ำทรงพลังไหลลดหลั่นลงมาตามโขดหิน โดยรับน้ำมาจากแม่น้ำสกาลวานดาฟลยอต (Skjalfandafljot River) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากธารน้ำแข็งวัทนาโจกุล ในฤดูหนาว น้ำตกแห่งนี้ยิ่งสวยเป็นพิเศษเมื่อถูกโอบล้อมด้วยหิมะและน้ำแข็ง

เมื่อขับรถขึ้นเหนือไปอีกหน่อย คุณจะเข้าสู่อาคูเรย์ริ เมืองที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการตามล่าแสงเหนือเพราะอยู่ในทำเลที่มืดสนิทและอยู่ทางเหนือมากกว่าพื้นที่อื่น หากอยากเพิ่มโอกาสเห็นแสงเหนือให้มากขึ้น แนะนำให้จองทัวร์ล่าแสงเหนือแบบมีไกด์นำเที่ยว

หลังจากวันแห่งการเดินทางและการผจญภัย แวะเข้าที่พักในไอซ์แลนด์เหนือเพื่อพักผ่อนอย่างสบาย พร้อมเตรียมตัวสำหรับวันถัดไปของทริปฤดูหนาวนี้

ในวันสุดท้ายของการเดินทางขึ้นเหนือ มุ่งหน้าไปยังเมืองเซยดาร์โครคูร์ (Saudarkrokur) ระหว่างทางคุณจะผ่านหุบเขางดงามตระการตา โดยมีเทือกเขาสูงทางเหนืออวดโฉมความงามดิบและพลังของธรรมชาติอย่างเต็มเปี่ยม

ออกจากอาคูเรย์รีแล้วลองแวะอ้อมไปยังยอดเขาเฮิร์นดรังกิ (Hraundrangi Peak) ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างหุบเขาออกซ์นาดาลูร์ (Oxnadalur) และฮอร์การ์ดาลูร์ (Horgardalur) เสาหินบะซอลต์สูงชันและภูมิประเทศที่ขรุขระเป็นฉากหลังที่สวยมากสำหรับการถ่ายรูปและการเดินสำรวจ

จากนั้นเดินทางต่อผ่านฟยอร์ดกว้างใหญ่ของสกากาฟยอร์ดูร์ (Skagafjordur) พร้อมแวะที่หมู่บ้านโฮฟโซส (Hofsos) เมืองเล็กบรรยากาศดีที่มีสระน้ำร้อนชื่อดังให้คุณได้แช่น้ำอุ่นผ่อนคลาย พร้อมชมวิวฟยอร์ดที่สวยสะกดตา

ระหว่างทาง คุณจะผ่านหมู่บ้านวาร์มาฮลิด (Varmahlid) เมืองเล็กในไอซ์แลนด์เหนือ ที่นี่เหมาะสำหรับการขี่ม้าชมทุ่งหญ้าและภูมิประเทศอันสวยงามของภูมิภาค ม้าไอซ์แลนด์ขึ้นชื่อเรื่องจังหวะการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล จึงเป็นประสบการณ์ที่ดีในการออกสำรวจหุบเขา ทุ่งกว้าง และธรรมชาติอันบริสุทธิ์

จากนั้นขับรถขึ้นเหนือและมุ่งหน้าเข้าสู่เซยดาร์โครคูร์ เมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศงดงามของไอซ์แลนด์เหนือ เมื่อฤดูหนาวมาถึง เนินเขาและภูเขารอบๆ เมืองจะถูกคลุมด้วยหิมะระยิบระยับ เป็นฉากหลังที่สวยมากและเพิ่มเสน่ห์ให้กับเมืองเล็กแห่งนี้

เพื่อสัมผัสเมืองให้ลึกซึ้งขึ้น ลองเดินเล่นรอบเมือง ชมวิถีชีวิตท้องถิ่น และพูดคุยกับชาวเมือง ชาวไอซ์แลนด์เป็นกันเองและพร้อมให้คำแนะนำเสมอ

การมาเยือนเซยดาร์โครคูร์จะไม่สมบูรณ์หากไม่ลองชิมอาหารท้องถิ่น ร้านกาแฟและร้านอาหารในตัวเมืองมีเมนูพื้นเมืองให้เลือก เช่น เนื้อแกะ ฉลามหมัก (Hakarl) สตูว์ปลา  (Plokkfiskur) สกีร์ (Skyr) รวมถึงอาหารนานาชาติ

หนึ่งในไฮไลต์ของฤดูหนาวในเซยดาร์โครคูร์คือการชมแสงเหนือ ท้องฟ้ามืดสนิทและปลอดโปร่งในฤดูหนาวช่วยเพิ่มโอกาสเห็นม่านแสงสีเขียวเต้นไหวอย่างสวยงามเหนือฟากฟ้า

หลังค่ำคืนแห่งการล่าแสงเหนือ เข้าที่พักอันอบอุ่นในไอซ์แลนด์ตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อพักผ่อนอย่างเต็มที่

วันที่ 10 เตรียมตัวออกสำรวจคาบสมุทรสไนแฟลซเนสเนส (Snaefellsnes Peninsula) ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องภูมิทัศน์หลากหลาย ทั้งปล่องภูเขาไฟ ธารน้ำแข็ง ชายหาดทรายดำ และหมู่บ้านประมงบรรยากาศอบอุ่น

แม้จะใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ระหว่างทางมีสถานที่น่าสนใจมากมายให้แวะชม จุดแรกคือบอร์การ์วิร์กี (Borgarvirki) โบราณสถานในไอซ์แลนด์ตะวันตกเฉียงเหนือ ป้อมโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่บนปลักภูเขาไฟลักษณะคล้ายปราสาท หลงเหลือมาตั้งแต่สมัยไวกิ้ง

เมื่อขับรถขึ้นเหนือ จะพบกับฮวิตแซร์คูร์ (Hvitserkur) โขดหินรูปร่างโดดเด่นที่ตั้งตระหง่านขึ้นจากผืนน้ำ ชื่อของมันแปลว่า “เสื้อขาว” และรูปร่างคล้ายสิ่งมีชีวิตในตำนาน ในฤดูหนาว สีของโขดหินตัดกับภูมิทัศน์น้ำแข็งรอบตัว ทำให้เป็นจุดชมวิวที่สวยสะดุดตามาก

ถึงแม้คุณจะไม่ลงไปถึงชายฝั่ง ก็อย่าพลาดขึ้นไปชมฮวิตแซร์คูร์จากลานชมวิวที่จัดไว้ให้ และควรเก็บภาพความงามนี้ไว้เป็นที่ระลึก

จากนั้น แวะที่ศูนย์แมวน้ำในฮวามม์สตางกี (Hvammstangi) เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับประชากรแมวน้ำในท้องถิ่นและบทบาทสำคัญของพวกมันต่อระบบนิเวศของภูมิภาคนี้

หลังจากนั้น คาบสมุทรสไนแฟลซเนส จุดหมายสุดท้ายของทริปขับรถฤดูหนาวครั้งนี้กำลังรออยู่ คุณสามารถเริ่มเที่ยวได้ทันทีเมื่อไปถึง แต่คุณจะมีเวลาสำหรับการสำรวจอย่างเต็มอิ่มในวันถัดไป

ใจกลางของคาบสมุทรแห่งนี้คือสไนเฟลล์สโจกุล (Snaefellsjokull) ภูเขาไฟธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่โดดเด่นกลางคาบสมุทร ภูเขาไฟอันงดงามนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ศิลปินและนักเขียนมากมาย และยังเป็นฉากสำคัญของนิยาย Beneath the Glacier ของ Halldór Laxness และ Journey to the Center of the Earth ของ Jules Verne

คืนนี้พักผ่อนในที่พักอันแสนสบายบนคาบสมุทรสไนแฟลซเนส หากคืนนี้ท้องฟ้าเปิด คุณอาจได้ชมแสงเหนือระยิบระยับเป็นโบนัสก่อนเข้านอน

วันที่ 11 ของการขับรถเที่ยวไอซ์แลนด์ในฤดูหนาว คุณจะได้ออกสำรวจคาบสมุทรสไนแฟลซเนส ก่อนเดินทางกลับไปยังฐานที่พักในเรคยาวิก

คาบสมุทรแห่งนี้ถูกขนานนามว่า “ไอซ์แลนด์ฉบับย่อ” เพราะรวมภูมิประเทศหลากหลายรูปแบบไว้ในที่เดียว และเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ภูมิทัศน์ทั้งหมดจะถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน กลายเป็นดินแดนงดงามที่มอบประสบการณ์เที่ยวไม่เหมือนที่ไหน

เริ่มต้นวันด้วยการเดินชมทุ่งลาวาแบร์แซร์กยาเฮิร์น (Berserkjahraun Lava Fields) พื้นที่ภูเขาไฟโบราณที่เกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยานานหลายศตวรรษ จากนั้นมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเพื่อชมคิร์กจูเฟลล์ (Kirkjufell) หนึ่งในภูเขาที่โดดเด่นและถูกถ่ายภาพมากที่สุดในไอซ์แลนด์

เขาลูกนี้สูง 463 เมตร และมีรูปทรงทรงกระบอกเป็นเอกลักษณ์ แฟนๆ ซีรีส์จะจำมันได้ในชื่อ “ภูเขาหัวลูกศร” จาก Game of Thrones

จากคิร์กจูเฟลล์ เดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติสไนเฟลล์สโจกุล สถานที่ตั้งของธารน้ำแข็งชื่อดัง “สไนเฟลล์สโจกุล” เก็บภาพภูมิทัศน์อันยิ่งใหญ่ของธารน้ำแข็งยอดขาว และความขรุขระของภูเขารายล้อม

ถัดไป มุ่งหน้าไปยังชายหาดกรวดสีดำดยูปาลอนส์ซานดูร์ (Djupalonssandur) เดินเล่นริมชายฝั่งและชมก้อนกรวดดำมนสวยงามที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วชายหาด ซึ่งเป็นซากจากเรืออับปางในอดีต

จากชายหาด ขับรถเพียง 10 นาทีจะถึงถ้ำวาทน์เชลลิร์ (Vatnshellir Cave) ลองพิจารณาเข้าร่วมทัวร์ถ้ำพร้อมไกด์ เพื่อสำรวจโลกใต้ดินและเรียนรู้การก่อตัวทางธรณีวิทยาที่เป็นเอกลักษณ์ของถ้ำแห่งนี้

เดินทางต่อไปยังหน้าผาหินบะซอลต์ลอนดรังการ์ (Londrangar) ที่ซึ่งเสาหินสูงตระหง่านพุ่งขึ้นจากทะเลอย่างน่าทึ่ง ระหว่างทางคุณจะผ่านหมู่บ้านสวยๆ อย่างเฮลล์นาร์ (Hellnar) และอาร์นาร์สตาปิ (Arnarstapi) สามารถแวะทานอาหารหรือชมวิวชายฝั่งได้ตามสบาย

เมื่อขับตามเส้นทางเลียบชายฝั่ง คุณยังสามารถแวะที่บูดิร์ (Budir) หมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางทุ่งลาวาบูดาเฮิร์น (Budahraun) และหาดอิทรีทุงกา (Ytri Tunga) ชายหาดทรายสีทองที่มีแมวน้ำออกมานอนอาบแดดบ่อยครั้ง

จุดหมายปลายทางของวันนี้คือเรคยาวิก ระหว่างทางกลับเมืองหลวง คุณสามารถอ้อมไปเที่ยวไอซ์แลนด์ตะวันตก ชมเมืองประวัติศาสตร์อย่างบอร์การ์เนส (Borgarnes) และเรคโฮลท์ (Reykholt)

ในบอร์การ์เนสอย่าลืมแวะบอร์กามิรุม (Borg a Myrum) ชมโบสถ์และฟาร์มสวยงามที่สะท้อนวิถีชีวิตชนบทของชาวไอซ์แลนด์

ในเรคโฮลท์ สัมผัสพลังความร้อนใต้พิภพที่เดลดาร์ทุงกุฮแวร์ (Deildartunguhver) บ่อน้ำพุร้อนที่ทรงพลังที่สุดในยุโรป หากต้องการผ่อนคลาย ลองแวะเครยมาสปา (Krauma Spa) รีสอร์ตอาบน้ำร้อนที่ใช้สายน้ำจากเดลดาร์ทุงกุฮแวร์ มอบความสบายหลังวันท่องเที่ยวอันยาวนาน

หากยังมีเวลา คุณสามารถขับต่อไปทางตะวันออกเพื่อชมความงามของน้ำตกเฮิร์นฟอสซาร์ (Hraunfossar) และบาร์นาฟอสส์ (Barnafoss) รวมถึงมีตัวเลือกการผจญภัยเพิ่มเติม เช่น การเดินสำรวจถ้ำลาวาที่วิดเกลมิร์ (Vidgelmir) หรือเข้าชมอุโมงค์น้ำแข็งในธารน้ำแข็งลางโจกุล (Langjokull Glacier)

สุดท้าย มุ่งหน้ากลับเรคยาวิกเพื่อพักคืนสุดท้ายในไอซ์แลนด์ หากต้องการปิดท้ายทริปอย่างน่าประทับใจ ลองจองทัวร์แสงเหนือพร้อมไกด์ ผู้เชี่ยวชาญจะพาคุณไปยังจุดชมที่เหมาะที่สุด เพิ่มโอกาสให้คุณได้เห็นม่านแสงออโรร่าอันน่าหลงใหลอย่างใกล้ชิด