ทัวร์กลุ่มเล็ก 8 วัน ถนนวงแหวนรอบไอซ์แลนด์และคาบสมุทรสไนแฟลซเนส ออกเดินทางจากเรคยาวิก

หลังรับประทานอาหารเช้าที่ที่พัก วันที่สองของทัวร์ถนนวงแหวนในไอซ์แลนด์เริ่มต้นด้วยการขับรถชมวิวสู่เมืองวิก (Vik) หมู่บ้านชายฝั่งที่โอบล้อมด้วยหน้าผาและทรายภูเขาไฟสีดำ ภูมิประเทศอันน่าทึ่งและบรรยากาศเงียบสงบเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพ

สำหรับสายผจญภัย คุณสามารถเพิ่มทัวร์ถ้ำน้ำแข็งคัทลา (Katla Ice Cave) ลงในแผนการเดินทางถนนวงแหวนได้ ถ้ำนี้เปิดให้เข้าชมตลอดทั้งปี การสำรวจถ้ำน้ำแข็งคัทลาจะเผยให้เห็นน้ำแข็งสีน้ำเงินระยิบระยับที่แทรกด้วยเถ้าภูเขาไฟสีดำ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ แนะนำให้สวมเสื้อผ้ากันน้ำและรองเท้าที่แข็งแรงเพื่อความสบาย

หากต้องการเที่ยวแบบสบายๆ คุณสามารถเดินสำรวจเส้นทางเลียบชายฝั่งของวิก เพลิดเพลินกับช่วงเวลาสงบริมทะเล แวะหาดวิคูร์ฟยารา (Vikurfjara Beach) ที่มีทรายดำและหน้าผาสูงตระหง่าน จากนั้นเดินขึ้นไปยังโบสถ์วิก อี มิร์ดาล (Vik i Myrdal Church) หลังคาสีแดง เพื่อชมวิวหมู่บ้านและแท่งหินเรย์นิสดรังการ์ (Reynisdrangar Sea Stacks) ที่โผล่ขึ้นจากมหาสมุทรแอตแลนติก

หลังอาหารกลางวัน กลุ่มทัวร์จะเดินทางต่อไปยังฟยาดราร์กยูฟูร์ (Fjadrargljufur Canyon) หุบเขาคดเคี้ยวราวงู เลาะตามเส้นทางที่กำหนดบนขอบหุบเขา คุณจะได้ชมหน้าผาที่ปกคลุมด้วยมอสส์และลำน้ำที่ไหลคดเคี้ยวด้านล่าง แฟนเพลงของ Justin Bieber อาจคุ้นตาหุบเขาแห่งนี้จากมิวสิกวิดีโอเพลง “I’ll Show You” เพิ่มสีสันวัฒนธรรมป๊อบให้กับธรรมชาติอันงดงาม

เดินทางต่อในทัวร์ถนนวงแหวนแบบกลุ่มเล็กไปยังทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาร์ลอน (Jokulsarlon Glacier Lagoon) ที่ซึ่งภูเขาน้ำแข็งสีน้ำเงินขนาดมหึมาลอยอย่างสงบในผืนน้ำ และบางครั้งอาจเห็นแมวน้ำว่ายน้ำอยู่ใกล้ๆ มีทัวร์ล่องเรือพร้อมไกด์สำหรับผู้ที่อยากสัมผัสอย่างใกล้ชิด หรือคุณจะเลือกชมความยิ่งใหญ่จากริมฝั่งก็ได้

ใกล้กันคือหาดไดมอนด์ (Diamond Beach) ที่เศษน้ำแข็งจากโจกุลซาร์ลอนถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่ง เปล่งประกายบนทรายสีดำราวกับอัญมณี เป็นหนึ่งในจุดถ่ายภาพที่สวยที่สุดของไอซ์แลนด์ โดยเฉพาะเมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบผิวน้ำแข็งจนส่องประกายระยิบระยับ

ปิดท้ายวันด้วยการนั่งรถชมวิวสู่โรงแรมที่เมืองเฮิพน์ (Hofn) เมืองชายทะเลอันเงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อน หลังจากวันแห่งภูมิประเทศอันยิ่งใหญ่ ธารน้ำแข็ง และน้ำตก คุณสามารถผ่อนคลายและทบทวนความทรงจำอันน่าประทับใจของชายฝั่งทางใต้ของไอซ์แลนด์

หากเดินทางมาในช่วงฤดูหนาว อย่าลืมออกไปใช้เวลานอกที่พักในยามค่ำคืน เพื่อเพิ่มโอกาสชมแสงเหนืออันงดงาม

วันที่ 3 เริ่มต้นด้วยอาหารเช้าแสนอร่อย ก่อนออกเดินทางต่อไปตามเส้นทางถนนวงแหวนสู่ไอซ์แลนด์ตะวันออก การขับรถผ่านอีสต์ฟยอร์ด (Eastfjords) งดงามตระการตา ด้วยถนนคดเคี้ยว ฟยอร์ดลึก และภูเขาสูงตระหง่านที่สะท้อนเงาลงบนผืนน้ำชายฝั่งอันสงบนิ่ง

จุดแวะแรกคือดยูปิโวกูร์ (Djupivogur) หมู่บ้านชาวประมงอันเงียบสงบที่โอบล้อมด้วยยอดเขาน่าทึ่ง เดินเล่นตามท่าเรือที่เรียงรายด้วยเรือสีสันสดใส สัมผัสจังหวะชีวิตเรียบง่าย และพบปะชาวบ้านผู้เป็นมิตรซึ่งสะท้อนเสน่ห์การต้อนรับของไอซ์แลนด์ตะวันออก

ภายในหมู่บ้าน คุณสามารถแวะชม Eggin í Gleðivík งานศิลปะกลางแจ้งที่จัดแสดงประติมากรรมหินรูปไข่นก ถ่ายภาพที่ประภาคารสีส้มสดของดยูปิโวกูร์ และสำรวจพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตท้องถิ่นและประวัติศาสตร์การเดินเรือ

จากนั้น เดินทางต่อไปกับไกด์ผู้สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีสู่เอกิลสตาดีร์ (Egilsstadir) เมืองหลักของไอซ์แลนด์ตะวันออก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลาการ์ฟยอท (Lagarfljot) ที่มีเรื่องเล่าขานของสิ่งมีชีวิตลึกลับคล้ายมังกรซึ่งเชื่อกันว่าอาศัยอยู่ในน้ำ เพิ่มเสน่ห์จากตำนานพื้นบ้านให้กับเมืองนี้

พักรับประทานอาหารกลางวันที่นี่ ลองชิมเมนูท้องถิ่นในคาเฟ่หรือร้านอาหารบรรยากาศอบอุ่น เหมาะสำหรับการผ่อนคลายและเติมพลัง ก่อนมุ่งหน้าสู่พื้นที่ห่างไกลของภูมิภาค

หลังอาหาร รถบัสจะพาคุณไปยังบอร์การ์ฟยอร์ดูร์ เอสทรี (Borgarfjordur Eystri) อัญมณีซ่อนเร้นที่มีชื่อเสียงด้านอาณานิคมพัฟฟินบนหน้าผาในช่วงฤดูร้อน การได้ชมเหล่านกทะเลน่ารักอย่างใกล้ชิดเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืม

แม้ในช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว บอร์การ์ฟยอร์ดูร์ เอสทรี ก็ยังงดงามด้วยทิวเขาหินไรโอไลต์สีสันสด เส้นทางเดินป่าที่เข้าถึงง่าย บ้านดินแบบดั้งเดิม และจุดชมวิวกว้างไกล เหมาะสำหรับการถ่ายภาพธรรมชาติและเดินเล่นอย่างสงบ

เพื่อผ่อนคลายหลังวันแห่งการสำรวจ คุณสามารถเลือกเพิ่มกิจกรรมแช่น้ำที่เวิกบาธส์ (Vok Baths) สปาน้ำพุร้อนลอยน้ำบนทะเลสาบอูร์ริดาวาทน์ (Lake Urridavatn) แช่ตัวในน้ำอุ่นอุดมแร่ธาตุ และสัมผัสวัฒนธรรมการอาบน้ำพุร้อนที่สืบทอดมายาวนานของไอซ์แลนด์

สระน้ำเปิดตลอดทั้งปี มอบความอบอุ่นในฤดูหนาว และเป็นมุมสงบสำหรับชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนในฤดูร้อน เติมเต็มการแช่น้ำด้วยชาสมุนไพรฟรีที่ชงจากน้ำแร่ท้องถิ่น มีบริการให้เช่าผ้าเช็ดตัวและชุดว่ายน้ำ ช่วยให้การพักผ่อนเป็นเรื่องง่าย

ปิดท้ายวันด้วยการเข้าพักที่โรงแรมในเอกิลสตาดีร์ (Egilsstadir) พร้อมความผ่อนคลาย และเตรียมพร้อมสำหรับช่วงต่อไปของการผจญภัยบนเส้นทางถนนวงแหวนของไอซ์แลนด์

วันที่ 4 ของการเดินทางเปิดฉากด้วยเส้นทางชมวิวผ่านไอซ์แลนด์ตะวันออกเฉียงเหนืออันเงียบสงบ ซึ่งภูมิประเทศค่อยๆ เปลี่ยนจากทะเลสาบอันราบเรียบไปสู่ฟยอร์ดลึกและหมู่บ้านชายฝั่งขนาดเล็ก ระหว่างที่คณะเดินทางไปตามถนนวงแหวน ทิวทัศน์จะยิ่งดูดิบและยิ่งใหญ่ขึ้น เป็นการเกริ่นนำสู่ธรรมชาติอันน่าทึ่งที่สุดบางแห่งของประเทศ

ไฮไลต์แรกของวันคือสตุดลากิลแคนยอน (Studlagil Canyon) ในหุบเขาโจกุลดาลูร์ (Jokuldalur Valley) ที่โดดเด่นด้วยเสาหินบะซอลต์สูงตระหง่านเรียงรายอยู่สองฝั่งแม่น้ำ ไกด์จะเล่าให้ฟังว่ามุมซ่อนเร้นแห่งนี้ถูกค้นพบในปี 2009 หลังโครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำทำให้ระดับน้ำลดลง จนเผยให้เห็นโครงสร้างหินอันน่าตื่นตานี้

จากนั้น เดินทางต่อเพื่อไปสัมผัสพลังอันยิ่งใหญ่ของน้ำตกเดตติฟอสส์ (Dettifoss) ซึ่งเป็นน้ำตกที่ทรงพลังที่สุดในยุโรป เสียงคำรามกึกก้องและละอองน้ำที่ฟุ้งกระจายจะทำให้คุณประทับใจไม่รู้ลืม ไกด์จะพาคุณไปยังจุดชมวิวที่ดีที่สุดเพื่อชมพลังของแม่น้ำโจกุลซา อา ฟยอลลุม (Jokulsa a Fjollum) ที่ไหลกระแทกลงสู่หุบเขาเบื้องล่าง

การเดินทางยังคงดำเนินต่อไปยังนามาสการ์ด (Namaskard) พื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพที่เต็มไปด้วยไอร้อน ช่องไอน้ำ โคลนเดือด และแร่ธาตุสีสันสดใส คุณสามารถเดินตามทางที่จัดไว้เพื่อความปลอดภัย และชมพลังงานใต้พิภพของไอซ์แลนด์อย่างใกล้ชิด

จากนั้น มุ่งหน้าต่อไปยังดิมมูบอร์กิร์ (Dimmuborgir) ทุ่งลาวาขนาดใหญ่ที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟในอดีต โขดหินแหลมคมและซุ้มลาวารูปทรงแปลกตาสร้างบรรยากาศลึกลับ ตามตำนานท้องถิ่นกล่าวว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เรื่องเล่าของโทรลล์และเอลฟ์ เพิ่มเสน่ห์จากนิทานพื้นบ้านให้กับการเดินชมธรรมชาติ

แวะพักสั้นๆ ที่สคูตูสตาดากีการ์ (Skutustadagigar) เพื่อชมปล่องภูเขาไฟเทียมที่ปกคลุมด้วยหญ้า ซึ่งเกิดจากการระเบิดของไอน้ำเมื่อหลายพันปีก่อน เดินเล่นสบายๆ เพื่อชมวิวกว้างของพื้นที่ชุ่มน้ำรอบทะเลสาบมิวาทน์ (Lake Myvatn) แหล่งอาศัยสำคัญของนกนานาชนิด

ก่อนถึงที่พักในอาคูเรย์รี (Akureyri) คุณจะได้แวะชมน้ำตกโกดาฟอสส์ (Godafoss) หรือ “น้ำตกแห่งเทพเจ้า” ด้วยรูปทรงโค้งคล้ายเกือกม้าและกระแสน้ำที่ทรงพลัง ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดถ่ายภาพที่สวยที่สุดของไอซ์แลนด์เหนือ ไกด์จะเล่าเรื่องราวจากตำนานซากาที่เชื่อมโยงประวัติศาสตร์เข้ากับธรรมชาติได้อย่างน่าประทับใจ

ปิดท้ายวันในเมืองอาคูเรย์รี เมืองหลวงแห่งไอซ์แลนด์เหนือที่มีชีวิตชีวา เพลิดเพลินกับวิวท่าเรือ คาเฟ่น่ารักๆ และบรรยากาศผ่อนคลาย ก่อนพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการผจญภัยช่วงถัดไปบนเส้นทางถนนวงแหวนของไอซ์แลนด์

หลังรับประทานอาหารเช้า วันที่ 5 ของทัวร์กลุ่มเล็กในไอซ์แลนด์จะเริ่มต้นที่อาคูเรย์รี (Akureyri) เมืองมีชีวิตชีวาที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและผืนน้ำสีครามของฟยอร์ดเอยาฟยอร์ดูร์ (Eyjafjordur) สำหรับหนึ่งในประสบการณ์ไฮไลต์ของไอซ์แลนด์เหนือ คุณสามารถเลือกเข้าร่วมทัวร์ชมวาฬพร้อมไกด์ ซึ่งออกเดินทางจากท่าเรือของเมือง

ผืนน้ำที่สงบและได้รับการคุ้มครองของฟยอร์ดเอยาฟยอร์ดูร์ทำให้อาคูเรย์รีเป็นหนึ่งในจุดชมวาฬที่ดีที่สุดของประเทศ เตรียมกล้องให้พร้อม เพราะวาฬหลังค่อมและวาฬมิงค์มักโผล่ขึ้นมาใกล้เรือ พร้อมด้วยโลมาที่แหวกว่ายอย่างร่าเริง ท่ามกลางทะเลอันเงียบสงบและวิวภูเขาที่งดงาม ประสบการณ์นี้ทั้งน่าตื่นเต้นและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน

หลังกลับขึ้นฝั่ง เพลิดเพลินกับมื้อกลางวันที่คาเฟ่บรรยากาศอบอุ่นแห่งหนึ่งในอาคูเรย์รี ก่อนเดินทางต่อไปทางตะวันตกตามถนนวงแหวนสู่เขตสคากาฟยอร์ดูร์ (Skagafjordur) ภูมิภาคที่ขึ้นชื่อเรื่องหุบเขากว้าง วัฒนธรรมการขี่ม้าอันแข็งแกร่ง และฟาร์มชนบทที่งดงาม

ระหว่างทาง คุณจะได้แวะที่กลุมไบร์ (Glaumbaer) ฟาร์มหญ้าเทิร์ฟและพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ชวนให้ย้อนเวลากลับไปสู่ชีวิตชนบทของไอซ์แลนด์ เดินชมบ้านหลังคาหญ้าเทิร์ฟและภายในแบบดั้งเดิม เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวไอซ์แลนด์ในอดีต ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของดินแดนทางเหนือ

ถัดไป บอร์การ์วิร์กิ (Borgarvirki) จะปรากฏเป็นหนึ่งในมุมลับของไอซ์แลนด์เหนือ ปลั๊กภูเขาไฟแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นป้อมปราการในยุคไวกิ้ง ตั้งตระหง่านเหนือที่ราบโดยรอบ การเดินขึ้นระยะสั้นจะมอบวิวกว้างไกลและความรู้สึกเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์โบราณของไอซ์แลนด์ ไกด์อาจเล่าเรื่องตำนานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับสถานที่อันน่าทึ่งแห่งนี้ให้ฟัง

เส้นทางของวันนี้ยังรวมถึงฮวิทแซร์คูร์ (Hvitserkur) แท่งหินกลางทะเลที่โดดเด่นบนคาบสมุทรวาทส์เนส (Vatnsnes Peninsula) ด้วยรูปร่างคล้ายช้างกำลังดูดน้ำจากทะเล จึงเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยม ในฤดูร้อน นกทะเลจะมาทำรังบนผิวหินขรุขระ เพิ่มชีวิตชีวาให้กับทัศนียภาพอันน่าประทับใจ

ก่อนสิ้นวัน คุณจะได้แวะที่หุบเขาโคลูกยูฟูร์ (Kolugljufur) ซึ่งตั้งชื่อตามยักษ์หญิงโคลา (Kola) ในตำนานของชาวไอซ์แลนด์ จากจุดชมวิว คุณสามารถชมน้ำตกโคลูฟอสส์ (Kolufoss) ที่ไหลลดหลั่นผ่านหุบเขาลึก ท่ามกลางเฉดสีเขียวและน้ำตาลที่ตัดกันอย่างงดงาม

ช่วงเย็นจะพาคุณไปยังเลยการ์บักกิ (Laugarbakki) หมู่บ้านเงียบสงบท่ามกลางทุ่งกว้างและเนินเขาไกลลิบ เข้าที่พัก ผ่อนคลาย และทบทวนภาพความประทับใจจากอีกหนึ่งวันที่เต็มไปด้วยสถานที่น่าจดจำบนเส้นทางถนนวงแหวนของไอซ์แลนด์

ในฤดูร้อน แสงอาทิตย์ยามเที่ยงคืนจะสาดแสงสีทองอ่อนเหนือผืนแผ่นดิน ขณะที่ในฤดูหนาว คุณอาจได้เห็นแสงเหนือเต้นระบำเหนือชนบทอันเงียบสงบ ปิดท้ายวันได้อย่างน่าประทับใจไม่รู้ลืม

วันที่ 6 ของทริปถนนวงแหวนรอบไอซ์แลนด์แบบครบเส้นทาง จะพาคุณเข้าสู่ไอซ์แลนด์ตะวันตก (West Iceland) ดินแดนที่เต็มไปด้วยปล่องภูเขาไฟ น้ำตกที่ไหลลดหลั่น และปรากฏการณ์พลังงานความร้อนใต้พิภพอันน่าทึ่ง ด้วยภูมิประเทศที่หลากหลายและวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง พื้นที่แห่งนี้จึงเป็นสวรรค์ของช่างภาพและเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักเดินทางที่อยากสัมผัสความแตกต่างทางธรรมชาติของไอซ์แลนด์อย่างแท้จริง

วันเริ่มต้นที่ปล่องภูเขาไฟกราบร็อก (Grabrok Crater) ซึ่งสามารถเดินขึ้นได้ง่าย มีเส้นทางที่ดูแลอย่างดีนำไปสู่ขอบปล่อง การเดินขึ้นระยะสั้นจะทำให้ได้เห็นวิวกว้างไกลเหนือทุ่งลาวาที่ปกคลุมด้วยมอสส์ เนินเขาในเขตบอร์การ์ฟยอร์ดูร์ (Borgarfjordur) และยอดเขาที่อยู่ไกลออกไป ถือเป็นการเริ่มต้นวันแห่งการผจญภัยที่สมบูรณ์แบบ

จุดแวะถัดไปคือน้ำตกกลันนี (Glanni Waterfall) น้ำตกที่ไหลลดหลั่นอย่างสงบเป็นสามชั้น เส้นทางเดินสั้นๆ จะพาคุณไปยังจุดชมวิวที่เงียบสงบ มีเสียงสายน้ำที่ไหลผ่านช่วยเติมเต็มบรรยากาศ ตามตำนานท้องถิ่น เล่ากันว่าเคยมีเอลฟ์อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ เพิ่มมนตร์เสน่ห์แบบไอซ์แลนด์ให้กับสถานที่แห่งนี้

เดินทางต่อไป คุณจะได้พบกับเฮิร์นฟอสซาร์ (Hraunfossar) ชุดน้ำตกที่ไหลซึมออกมาจากทุ่งลาวากว้างใหญ่ ความตัดกันระหว่างหินบะซอลต์สีเข้มกับสายน้ำสีฟ้าใสทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดถ่ายภาพที่สวยที่สุดของไอซ์แลนด์ตะวันตก ทางเดินที่ปลอดภัยช่วยให้เข้าถึงมุมมองต่างๆ ได้อย่างสะดวก เหมาะสำหรับการเก็บภาพความงามของสายน้ำที่ไหลลดหลั่น

ถัดขึ้นไปตามลำน้ำคือบาร์นาฟอสส์ (Barnafoss) น้ำตกที่มีขนาดเล็กกว่าแต่ทรงพลังยิ่งกว่า มีสะพานหินธรรมชาติ กระแสน้ำสีฟ้าสดและตำนานท้องถิ่นเกี่ยวกับ “น้ำตกของเด็กๆ” ทำให้สถานที่แห่งนี้ทั้งงดงามและแฝงความลึกลับ ไกด์ของคุณอาจเล่าเรื่องราวเบื้องหลังชื่ออันน่าขนลุกนี้ขณะคุณดื่มด่ำกับวิวตรงหน้า

ต่อมา แวะเยี่ยมชมฟาร์มม้าที่สตูร์ลูเรย์คีร์ (Sturlureykir Horse Farm) หนึ่งในฟาร์มเพาะพันธุ์ม้าที่เก่าแก่ที่สุดของไอซ์แลนด์ พบกับม้าไอซ์แลนด์แสนเป็นมิตร และชมการเดินแบบ “โทลต์” (tölt) อันเป็นเอกลักษณ์ของพวกมัน ฟาร์มแห่งนี้ยังสาธิตการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพในชีวิตประจำวัน ให้คุณได้เรียนรู้แนวทางเกษตรกรรมที่ยั่งยืนของไอซ์แลนด์

ก่อนถึงจุดหมายสุดท้ายของวัน คุณจะได้สัมผัสไอร้อนและไอน้ำจากเดลดาร์ทุงกุฮแวร์ (Deildartunguhver) น้ำพุร้อนที่ทรงพลังที่สุดในยุโรป น้ำเดือดที่พุ่งขึ้นจากพื้นดินถูกนำไปใช้เป็นพลังงานความร้อนให้กับเมืองใกล้เคียง แสดงให้เห็นถึงพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของไอซ์แลนด์

วันสิ้นสุดลงที่เมืองบอร์การ์เนส (Borgarnes) เมืองริมฟยอร์ดที่เงียบสงบและอุดมไปด้วยประวัติศาสตร์ยุคไวกิ้ง เช็กอินเข้าที่พัก เพลิดเพลินกับค่ำคืนสบายๆ ริมท่าเรือ และทบทวนเรื่องราวและภาพความประทับใจจากอีกหนึ่งวันที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของไอซ์แลนด์ตะวันตก

ไอซ์แลนด์ตะวันตกขึ้นชื่อเรื่องความลงตัวระหว่างประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และบรรยากาศอันเงียบสงบ พื้นที่บอร์การ์ฟยอร์ดูร์ (Borgarfjordur) ที่ภูเขาบรรจบกับหุบเขาอันอุดมสมบูรณ์ มอบจังหวะการเดินทางที่ผ่อนคลาย เต็มไปด้วยตำนานพื้นถิ่น แหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ และภาพวิถีชีวิตประจำวันของชาวไอซ์แลนด์

วันที่ 7 จะพาคุณสัมผัสเสน่ห์ของไอซ์แลนด์ตะวันตกในแง่มุมของประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และการพักผ่อน เช้าวันนี้เริ่มต้นที่เมืองบอร์การ์เนส (Borgarnes) เมืองชายฝั่งที่โดดเด่นด้วยวิวฟยอร์ดและคาเฟ่บรรยากาศอบอุ่น เหมาะสำหรับมื้อเช้าแสนสงบก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวต่อ

จุดแวะแรกคือเรคโฮลท์ (Reykholt) หมู่บ้านประวัติศาสตร์ซึ่งเคยเป็นบ้านของ Snorri Sturluson นักปราชญ์และกวีในยุคกลาง ที่ศูนย์วัฒนธรรมสนอร์ราสโตฟา (Snorrastofa Cultural Center) คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับผลงานทรงอิทธิพลของเขาและมรดกยุคไวกิ้งของไอซ์แลนด์ ก่อนแวะชมสนอร์ราเลยก์ (Snorralaug) หนึ่งในบ่อน้ำพุร้อนที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ

หากยังไม่ได้ชมก่อนหน้านี้ หรืออยากเห็นในบรรยากาศที่แตกต่าง คุณจะได้กลับไปเยี่ยมชมน้ำตกเฮิร์นฟอสซาร์ (Hraunfossar) และบาร์นาฟอสส์ (Barnafoss) อีกครั้ง สายน้ำบางเบาของเฮิร์นฟอสซาร์ที่ไหลผ่านลาวาสีเข้ม ตัดกับสายน้ำสีฟ้าสดของบาร์นาฟอสส์ สร้างความแตกต่างที่งดงามและเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาของวัน

การเดินทางดำเนินต่อสู่ฮูสาเฟลล์ (Husafell) แหล่งพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ รายล้อมด้วยป่าเบิร์ช ทุ่งลาวา และแม่น้ำธารน้ำแข็ง พื้นที่แห่งนี้เป็นสถานที่พักผ่อนของชาวไอซ์แลนด์มานานหลายศตวรรษ และยังคงเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการความสงบและใกล้ชิดธรรมชาติ

คุณอาจมีโอกาสแวะเยี่ยมชมฮูสาเฟลล์แคนยอนบาธส์ (Husafell Canyon Baths) หนึ่งในอัญมณีลับของไอซ์แลนด์ตะวันตก

บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาห่างไกล โอบล้อมด้วยภูเขาและสายน้ำอุ่นที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ เป็นสถานที่ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผ่อนคลายหลังการเดินทางหลายวัน อย่าลืมเตรียมชุดว่ายน้ำเพื่อแช่น้ำพร้อมชมวิวธรรมชาติอันบริสุทธิ์

ก่อนเดินทางกลับบอร์การ์เนส คุณสามารถเดินเล่นเบาๆ บนเส้นทางธรรมชาติของฮูสาเฟลล์ ชมงานศิลปะท้องถิ่นที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภูมิประเทศรอบด้าน หรือแวะศูนย์นิทรรศการเซตเทิลเมนต์เซ็นเตอร์ (Settlement Center) ที่ได้รับรางวัล หรือพิพิธภัณฑ์บอร์การ์เนส เพื่อเรียนรู้เรื่องราวของผู้ตั้งถิ่นฐานยุคแรกและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

ช่วงเย็นปิดท้ายที่บอร์การ์เนส เป็นคืนสุดท้ายของการผจญภัยบนถนนวงแหวนของคุณ เพลิดเพลินกับมื้อค่ำที่ร้านอาหารท้องถิ่นริมฟยอร์ด เดินเล่นริมชายฝั่งอย่างสงบ และย้อนทบทวนสัปดาห์แห่งการเดินทางที่เต็มไปด้วยภาพความงดงามและประสบการณ์อันน่าประทับใจของไอซ์แลนด์

วันสุดท้ายของการผจญภัยบนเส้นทางถนนวงแหวนรอบไอซ์แลนด์ จะพาคุณเดินทางสู่คาบสมุทรสไนแฟลซเนส (Snaefellsnes Peninsula) ซึ่งเป็นเส้นทางเบี่ยงออกจากถนนวงแหวนที่งดงาม และเผยให้เห็นภูมิประเทศที่หลากหลายและน่าหลงใหลที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ พื้นที่แห่งนี้ในไอซ์แลนด์ตะวันตกผสมผสานทั้งทุ่งลาวา น้ำตก ชายหาด และหน้าผาริมทะเล เป็นบทสรุปที่สมบูรณ์แบบของการเดินทางรอบไอซ์แลนด์

หลังรับประทานอาหารเช้าและเช็กเอาต์ ไกด์จะพากลุ่มเดินทางไปทางตะวันตกสู่คาบสมุทร ทิวทัศน์สองข้างทางเต็มไปด้วยที่ราบลาวาทอดยาวสู่แนวชายฝั่งขรุขระและภูเขาไกลลิบ ภูมิประเทศที่เปลี่ยนแปลงตลอดทางช่วยสร้างบรรยากาศของวันแห่งการค้นพบและการทบทวนความทรงจำ

ไฮไลต์แรกคือภูเขาคิร์กจูเฟลล์ (Kirkjufell) หนึ่งในแลนด์มาร์กที่โดดเด่นที่สุดของไอซ์แลนด์ ภูเขาทรงสมบูรณ์แห่งนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ “Arrowhead Mountain” จากซีรีส์ Game of Thrones ตั้งตระหง่านเคียงข้างน้ำตกคิร์กจูเฟลล์ฟอสส์ (Kirkjufellsfoss) อย่างงดงาม เป็นภาพที่สะท้อนเสน่ห์อันน่าตื่นตาของคาบสมุทรได้อย่างชัดเจน

เลียบชายฝั่งต่อไปจะถึงดยูปาลอนส์ซานดูร์ (Djupalonssandur) ชายหาดกรวดสีดำที่รายล้อมด้วยหน้าผาและโขดหินรูปร่างแปลกตา ที่นี่คุณจะได้เห็นซากเรืออับปางและก้อนหินทดสอบกำลังของชาวประมงในอดีต ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวมรดกทางทะเลของไอซ์แลนด์ พร้อมชมวิวมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่สะท้อนพลังดิบของแอตแลนติก

เส้นทางยังพาคุณผ่านอาร์นาสทาปิ (Arnarstapi) หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหน้าผาและซุ้มประตูหินริมทะเล ซุ้มประตูหินกัตเคลตตูร์ (Gatklettur Rock Arch) ที่ถูกคลื่นทะเลกัดเซาะจนเกิดเป็นรูปทรงงดงาม เป็นจุดชมวิวชายฝั่งที่น่าประทับใจ

ในช่วงฤดูร้อน บริเวณนี้จะคึกคักไปด้วยนกทะเลที่มาทำรังตามแนวหน้าผา เติมชีวิตชีวาด้วยเสียงและการเคลื่อนไหวตลอดแนวชายฝั่ง

ไม่ไกลกันคือโบสถ์บูดิร์ (Budir Church) ที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบท่ามกลางทุ่งลาวาสีดำ เงาร่างสีเข้มของโบสถ์ตัดกับภูมิประเทศรอบด้านอย่างงดงาม ด้วยความเรียบง่ายและโดดเดี่ยว ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดในไอซ์แลนด์ และเป็นสัญลักษณ์ของความสงบท่ามกลางธรรมชาติอันดิบเถื่อน

จุดแวะสุดท้ายของการเดินทางคืออีทรี-ทุงกา (Ytri Tunga) ชายหาดทรายสีทองที่มักพบฝูงแมวน้ำอาศัยอยู่ คุณอาจได้เห็นพวกมันนอนอาบแดดบนโขดหินหรือว่ายน้ำใกล้ชายฝั่ง เป็นช่วงเวลาน่ารักและผ่อนคลายที่สะท้อนจิตวิญญาณของชายฝั่งไอซ์แลนด์ได้อย่างแท้จริง

ระหว่างเดินทางกลับสู่เรคยาวิก วิวทุ่งโล่งและภูเขาที่ทอดยาวอยู่ไกลลิบจะเป็นฉากปิดท้ายที่สมบูรณ์แบบ ให้คุณได้ทบทวนการเดินทาง 8 วันที่เต็มไปด้วยน้ำตก ธารน้ำแข็ง ภูเขาไฟ และฟยอร์ด การผจญภัยครั้งนี้จะทำให้คุณได้สัมผัสความมหัศจรรย์ของภูมิประเทศและเรื่องราวของไอซ์แลนด์อย่างครบถ้วนและน่าจดจำ