แพ็คเกจทัวร์พร้อมไกด์ 10 วันบนถนนวงแหวนรอบไอซ์แลนด์และเรคยาวิก

วันนี้เป็นวันแรกของการผจญภัยนอกเมือง ไกด์จะมารับคุณในตอนเช้าและพาคุณไปยังภูมิภาคแรกของการผจญภัยแปดวันของคุณ นั่นคือเส้นทางท่องเที่ยววงกลมทองคำ (Golden Circle) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก

วงกลมทองคำ เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำความรู้จักกับธรรมชาติที่หลากหลายของไอซ์แลนด์ เนื่องจากมีสถานที่ที่แตกต่างกันสามแห่ง

คุณจะเริ่มต้นที่อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์ (Thingvellir) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก ที่เป็นที่รักของทั้งนักเดินทางและคนในท้องถิ่นด้วยเหตุผลหลักสองประการ ประการแรก พื้นที่นี้มีประวัติศาสตร์ที่น่าหลงใหล เนื่องจากเป็นที่ที่ชาวไวกิ้งได้ก่อตั้งอัลธิงกิ (Althing) ในปี ค.ศ. 930 ซึ่งเป็นรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยแห่งแรกของโลก

เหตุผลที่สองคือลักษณะทางธรณีวิทยาของพื้นที่ธิงเวลลีร์ตั้งอยู่ในหุบเขารอยแยก ซึ่งอยู่ระหว่างแผ่นเปลือกโลกสองแผ่น คุณสามารถสังเกตแผ่นเปลือกโลกทั้งสองได้อย่างใกล้ชิดเมื่อคุณเข้าสู่หุบเขาอัลมานากยา (Almannagja)

หลังจากใช้เวลาที่ธิงเวลลีร์แล้ว คุณจะได้ค้นพบพื้นที่น้ำพุร้อนไกเซอร์ (Geysir Geothermal Area) อันงดงาม ภูมิภาคนี้เป็นที่รู้จักจากน้ำพุร้อนสโทรคูร์ (Strokkur) ซึ่งจะปะทุทุกๆ ประมาณห้านาที

การปะทุของน้ำพุร้อนขนาดยักษ์เหล่านี้สามารถสูงได้กว่า 20 เมตร นอกจากนี้ คุณจะพบบ่อฟูมาโรลที่มีไอน้ำ และบ่อน้ำพุร้อนหลากสีสันกระจายอยู่ทั่วไป

จุดแวะสุดท้ายของวงกลมทองคำคือน้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss Waterfall) ซึ่งอยู่ห่างจากไกเซอร์ (Geysir) ประมาณ 9.6 กิโลเมตร น้ำตกแห่งนี้สวยงามและน่าทึ่งที่สุดแห่งหนึ่งในไอซ์แลนด์

ที่นี่ คุณจะได้เห็นน้ำจากธารน้ำแข็งดิ่งลงสู่หุบเขาโบราณด้วยแรงมหาศาล ซึ่งเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ ในสภาพอากาศที่มีแดดจ้า ละอองน้ำที่พุ่งขึ้นจากหุบเขาจะสร้างรุ้งกินน้ำมากมาย

ยิ่งไปกว่านั้น น้ำตกกุลล์ฟอสส์ยังมีน้ำตกที่น่าทึ่งถึงสองชั้น โดยชั้นที่เตี้ยกว่ามีความสูง 11 เมตร ในขณะที่ชั้นที่สองสูงประมาณ 21 เมตร

ในบริเวณพื้นที่น้ำพุร้อนไกเซอร์และน้ำตกกุลล์ฟอสส์ คุณจะพบร้านอาหารสำหรับรับประทานอาหารและร้านค้าสำหรับซื้อของที่ระลึก หลังจากวันที่น่าตื่นเต้นในการสำรวจวงกลมทองคำ คุณจะมุ่งหน้าไปยังที่พักของคุณสำหรับค่ำคืนนี้ในไอซ์แลนด์ตะวันตกเฉียงใต้

วันที่สามของการเดินทางที่น่าตื่นเต้นนี้ คุณจะได้เดินทางไปตามชายฝั่งทางใต้ (South Coast) เป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของไอซ์แลนด์ เนื่องจากมีแนวชายฝั่งที่ขรุขระ ยอดเขาที่อยู่ห่างไกล เนินเขาที่ทอดตัวยาว และน้ำตกที่ไหลลดหลั่นลงมา ระหว่างทาง คุณจะผ่านเมืองวิก (Vik) ที่มีเสน่ห์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านชายฝั่งที่งดงามขึ้นชื่อเรื่องภูมิทัศน์ที่ตระการตาและอยู่ใกล้กับหินธรรมชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์

ตลอดช่วงเวลาที่คุณอยู่บนชายฝั่งทางใต้ คุณจะได้ชมภูเขาไฟเอยาฟยาลลาโจกุล (Eyjafjallajokull) ซึ่งเป็นภูเขาไฟสลับชั้นที่มีชื่อเสียงจากการปะทุอย่างรุนแรงในปี 2010 ภูเขาไฟธารน้ำแข็งแห่งนี้มีความสูง 1,651 เมตร เป็นหนึ่งในลักษณะทางธรรมชาติที่โดดเด่นที่สุดของภูมิภาค

สำหรับธารน้ำแข็งนั้น นับเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่เป็นอันดับหกของประเทศ โดยมีขนาดประมาณ 100 ตารางกิโลเมตร คุณยังจะได้เห็นธารน้ำแข็งมิร์ดาลสโจกุล (Myrdalsjokull) ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของไอซ์แลนด์ตั้งอยู่ใกล้ๆ

อย่างไรก็ตาม จุดแวะแรกของวันจะเป็นน้ำตกเซลยาแลนด์สฟอสส์ (Seljalandsfoss Waterfall) ที่น่าอัศจรรย์ น้ำตกมีความสูงถึง 60 เมตร และมีลักษณะเด่นคือโพรงขนาดใหญ่ด้านหลังม่านน้ำ ทำให้ผู้มาเยือนสามารถมองเห็นน้ำตกจากด้านหลังมวลน้ำที่ตกลงมา

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำเซลยาลันด์ซา (Seljalandsa) น้ำตกเซลยาแลนด์สฟอสส์ มีต้นกำเนิดอยู่ใต้ภูเขาไฟเอยาฟยาลลาโจกุลและมีม่านน้ำที่ค่อนข้างแคบ

จุดแวะถัดไปของคุณคือน้ำตกสโคกาฟอสส์ (Skogafoss Waterfall) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยงามที่สุดของประเทศ น้ำตกมีม่านน้ำที่ตกลงมาสูงมหึมา โดยมีความสูงประมาณ 60 เมตร และยังมีความกว้างที่น่าประทับใจถึง 25 เมตร

คุณสมบัติที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของน้ำตกคือมีพื้นที่ราบอยู่ด้านล่าง ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเดินเข้าไปใกล้กำแพงน้ำได้ หากคุณไม่รังเกียจที่จะเปียก หรือมีทางเลือกอื่นคือบันไดที่ทอดไปสู่ลานชมวิว ซึ่งคุณสามารถตื่นตาตื่นใจกับความงามของน้ำตกสโคกาฟอสส์ ได้

นอกจากนี้ คุณจะได้เยี่ยมชมซุ้มหินกลางทะเลดิร์โฮลาเอย์ (Dyrholaey) ซึ่งเป็นทางเดินหินที่ยื่นออกจากแผ่นดินใหญ่ของชายฝั่งทางใต้เข้าไปในทะเล จากที่นี่ คุณจะได้รับชมทิวทัศน์อันยอดเยี่ยมของภูมิทัศน์โดยรอบ

จุดแวะอื่นที่คุณจะได้ไปคือหาดทรายดำเรย์นิสฟยารา (Reynisfjara black sand beach) ขึ้นชื่อเรื่องหาดทรายภูเขาไฟสีดำสนิท โขดหินรูปทรงแปลกตา และหินบะซอลต์เรย์นิสดรังการ์ (Reynisdrangar) อันโดดเด่น ตามตำนานพื้นบ้าน หินเรย์นิสดรังการ์คือซากของโทรลล์โบราณที่กลายเป็นหินเพราะถูกแสงแดด

ในตอนเย็น คุณจะพักค้างคืนในไอซ์แลนด์ใต้

ในวันที่สี่คุณจะกลับสู่การเดินทางบนถนนและผ่านทะเลทรายสีดำโซลเฮมาซานดูร์ (Solheimassandur) อันงดงาม เส้นทางนี้จะพาคุณไปยังจุดหมายปลายทางแรกของวันนี้ ซึ่งก็คือทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาร์ลอน (Jokulsarlon)

ด้วยความที่มีธรรมชาติอันงดงามเหลือเชื่อ ที่นี่จึงถูกเรียกว่าเป็น “สุดยอดอัญมณีแห่งไอซ์แลนด์” และเมื่อคุณไปเห็นกับตาตัวเองคุณจะเข้าใจทันทีว่าทำไม ภูเขาน้ำแข็งหลากหลายขนาดและหลากเฉดสี ตั้งแต่สีขาวไปจนถึงสีน้ำเงินสดใส ลอยเกลื่อนอยู่บนผิวน้ำในทะเลสาบอย่างสงบนิ่งและค่อยๆ เคลื่อนตัวออกสู่ทะเลช้าๆ และที่น่าสนใจคือภูเขาน้ำแข็งบางลูกนั้นมีอายุมากกว่า 1,000 ปี

นอกจากนี้โจกุลซาร์ลอนยังเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดของไอซ์แลนด์ โดยมีความลึกสูงสุด 248 เมตร นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ผิว 18 ตารางกิโลเมตร และมีแมวน้ำอาศัยอยู่ในพื้นที่ด้วย และบ่อยครั้งที่จะได้เห็นพวกมันลงเล่นน้ำท่ามกลางภูเขาน้ำแข็ง

หากคุณเดินทางมาในเดือนพฤษภาคม คุณจะได้เห็นแมวน้ำอย่างใกล้ชิดมากขึ้นด้วยถ้าใช้บริการทัวร์ล่องเรือ! ถ้ามาเป็นครอบครัวหรือกลุ่มใหญ่แนะนำให้เลือกเป็นเรือสะเทินน้ำสะเทินบกลำใหญ่ที่สามารถขับจากบนบกลงไปในน้ำได้เลย 

และเนื่องจากมีการจำกัดปริมาณเรือที่ลงไปในทะเลสาบในแต่ละวัน ทัวร์ล่องเรือจึงมักจะเต็มเร็วมาก ถ้าคุณไม่อยากพลาดก็ควรจองล่วงหน้าไว้เลย

เมื่อชื่นชมความมหัศจรรย์ของทะเลสาบโจกุลซาร์ลอนจนหนำใจแล้ว ให้คุณเดินเท้าต่อเพื่อไปยังหาดไดมอนด์บีช หรือบางครั้งเรียกว่าหาดเบรดาแมร์คูร์ซานดูร์ (Breidamerkursandur) หาดแห่งนี้เป็นหาดที่มีก้อนภูเขาน้ำแข็งถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นมากมาย

ตื่นตาตื่นใจไปกับน้ำแข็งใสราวคริสตัลที่โดดเด่นตัดกับทรายสีดำบนชายหาด ซึ่งเป็นฉากโปรดของช่างภาพ

วันนี้คุณจะได้ไปเที่ยวชมเขตอนุรักษ์ธรรมชาติสกัฟตาเฟลล์ (Skaftafell Nature Reserve) ด้วย ซึ่งเป็นส่วนที่สวยงามของประเทศที่อยู่ภายในอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล (Vatnajokull) จากที่นี่ คุณจะได้เดินขึ้นไปบนธารน้ำแข็ง โดยจะมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งหมดให้กับคุณก่อนที่จะพาขึ้นไปบนเนินน้ำแข็งเพื่อชมทิวทัศน์อันน่าทึ่งจากด้านบนของธารน้ำแข็ง

การเดินป่าบนธารน้ำแข็งเป็นโอกาสอันน่าทึ่งที่หาได้ยากในสถานที่เพียงไม่กี่แห่งทั่วโลก

หลังจากวันอันเหน็ดเหนื่อยจากการเที่ยวชมสิ่งต่างๆ มากมาย คุณจะได้ใช้เวลาช่วงค่ำในที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบหรือบนชายฝั่งทางใต้

วันนี้ คุณจะได้สำรวจอีสต์ฟยอร์ด (Eastfjords) ที่เป็นพื้นที่ธรรมชาติและห่างไกล ส่วนนี้ของประเทศขึ้นชื่อเรื่องหมู่บ้านชาวประมงที่เงียบสงบและถนนบนภูเขาที่คดเคี้ยว

อีสต์ฟยอร์ด เป็นแนวชายฝั่งที่ทอดยาว 120 กิโลเมตร เริ่มต้นจากทางใต้ที่เบรูฟยอร์ดูร์ (Berufjordur) ไปจนถึงทางเหนือที่หมู่บ้านชาวประมงบอร์การ์ฟยอร์ดูร์ เอสทรี (Borgarfjordur Eystri)

อีสต์ฟยอร์ด มีทิวทัศน์มหาสมุทรและภูเขาที่งดงาม เต็มไปด้วยป่าทึบและทะเลสาบที่ส่องประกาย เพิ่มชีวิตชีวาให้กับทิวทัศน์ที่น่าทึ่งอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีความหลากหลายของสัตว์ป่าอีกด้วย คุณจะได้เห็นกวางเรนเดียร์ แมวน้ำ และนกอพยพหลากหลายสายพันธุ์ รวมถึงนกพัฟฟินแอตแลนติกที่น่ารักแต่หายาก

เมื่อเทียบกับนกพัฟฟินสายพันธุ์อื่นๆ นกพัฟฟินแอตแลนติกมีปากที่มีสีสันและมีขนคล้ายกับนกเพนกวิน พวกมันยังเป็นมิตร ซุ่มซ่าม และไม่กลัวผู้คน

ในวันนี้ ไกด์ท้องถิ่นของคุณจะพาแวะที่สถานที่โปรดบางแห่งของเขา ซึ่งอาจรวมถึงทิวทัศน์ที่สวยงาม เช่น ชายหาดที่น่าทึ่ง หรือเมืองเล็กๆ ที่งดงามราวกับภาพวาด ทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงามจะสะกดใจคุณตลอดทั้งวัน ในขณะที่คุณเดินทางคดเคี้ยวไปยังเมืองเอกิลสตาดีร์ (Egilsstadir) เมืองหลวงของภาคตะวันออก

ก่อนที่คุณจะถึงที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ คุณจะผ่านป่าที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ นั่นคือป่าฮาลลอร์มสตาดาสโคกูร์ (Hallormsstadaskogur) ซึ่งเป็นสมบัติของชาติในประเทศที่ส่วนใหญ่ไม่มีต้นไม้ ป่าครอบคลุมพื้นที่ 740 ตารางกิโลเมตร คุณจะได้เห็นเส้นทางเดินป่า สัตว์ป่าที่มีชีวิตชีวา และต้นไม้เขียวชอุ่ม

ใกล้กันนั้นคือทะเลสาบลาการ์ฟลยอต (Lagarfljot) ห่างออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร ทะเลสาบแห่งนี้มีข่าวลือว่าเป็นที่อยู่ของสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ หรือล็อกเนสของไอซ์แลนด์ สัตว์ร้ายที่เรียกว่า Lagarfljot Wyrm ถูกกล่าวถึงในวรรณกรรมมาเกือบพันปี

หากคุณต้องการการผจญภัยเพิ่มเติมในวันของคุณ คุณสามารถไปเข้าร่วมกับทัวร์ขี่ม้า ม้าไอซ์แลนด์มีชื่อเสียงในด้านอารมณ์ที่น่ารักและรูปร่างที่แข็งแรง เหมาะสำหรับผู้ขี่ทุกวัย คุณจะได้สัมผัสชนบทไอซ์แลนด์ในรูปแบบแปลกใหม่

ในตอนเย็น คุณจะผ่อนคลายที่ที่พักของคุณในไอซ์แลนด์ตะวันออก

วันที่หกของคุณในไอซ์แลนด์นี้ สามารถเริ่มต้นด้วยประสบการณ์ที่ผ่อนคลายที่สุด ไปเวิกบาธส์ (Vok Baths) หากคุณต้องการเพลิดเพลินกับสปาความร้อนใต้พิภพที่ตั้งอยู่ในทะเลสาบ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่น่าประทับใจ

เวิกบาธส์เป็นสปาที่ใหญ่ที่สุดในอีสต์ฟยอร์ด มีสระว่ายน้ำสองสระ อุโมงค์เย็นที่นำไปสู่ห้องอาบน้ำ และสระน้ำร้อนที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของพื้นที่ได้ นอกจากนี้ คุณยังจะพบซาวน่าในสถานที่และมีบาร์หนึ่งแห่งในสระว่ายน้ำ

หากคุณไม่ต้องการไปแช่น้ำร้อนจากความร้อนใต้พิภพ คุณจะเริ่มต้นด้วยหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดของภาคเหนือ นั่นคือน้ำตกเดตติฟอสส์ (Dettifoss) ที่งดงาม น้ำตกเดตติฟอสส์ เป็นหนึ่งในน้ำตกที่ทรงพลังที่สุดในยุโรปและเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ

น้ำตกเดตติฟอสส์ มีความกว้าง 100 เมตร และสูง 43 เมตร นอกจากนี้ยังมีอัตราการไหลเฉลี่ย 193 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

ด้วยขนาดของมัน ทำให้น้ำตกนี้ได้รับฉายาว่า "The Beast" และเป็นไปได้ที่จะเห็นละอองน้ำหนาทึบพวยพุ่งขึ้นจากหน้าผาโจกุลซาร์กยูฟูร์แคนยอน (Jokulsarglufur) นอกจากนี้ พลังและความงามที่แท้จริงของมันยังดึงดูดความสนใจของผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ ผู้ถ่ายทำฉากเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่อง "Prometheus" ปี 2012 ที่ น้ำตกเดตติฟอสส์

จุดแวะถัดไปของคุณคืออาสบิร์กิ (Asbyrgi) แคนยอนรูปทรงเกือกม้าที่มีพืชพรรณเขียวชอุ่มและเต็มไปด้วยหิน ตำนานเล่าว่าหุบเขาอันยิ่งใหญ่นี้ก่อตัวขึ้นในรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์จากฝีเท้าของสเลย์ปนีร์ (Sleipnir) ม้าแปดขาของเทพเจ้าโอดิน ที่กระทืบลงบนพื้นโลก

ถัดไปตามแนวชายฝั่ง คุณจะไปเยี่ยมชมเมืองฮูสาวิก (Husavik) ที่เงียบสงบ เมืองนี้มีบ้านหลากสีสันที่สวยงาม ท่าเรือที่มีเสน่ห์ และโบสถ์ไม้ที่โดดเด่น

จากนั้น คุณจะเดินทางต่อไปยังทะเลสาบมิวาทน์ (Lake Myvatn หรือทะเลสาบแมลง) ซึ่งตั้งชื่อตามแมลงตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ ทะเลสาบมีความยาวประมาณ 9.5 กิโลเมตร และกว้าง 6.5 กิโลเมตร ทำให้เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของไอซ์แลนด์

พื้นที่รอบทะเลสาบมิวาทน์เป็นที่ลักษณะทางธรรมชาติที่สวยงามมากมาย และมีความร้อนใต้พิภพที่ค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ คุณจะได้เห็นการก่อตัวของลาวา น้ำพุร้อน ปล่องภูเขาไฟ และเกาะภูเขาไฟที่ล้อมรอบทะเลสาบ

ไม่มีจุดใดที่จะดีไปกว่านี้ในการชมกระบวนการเหล่านี้มากไปกว่าที่ช่องเขานามาสการ์ด (Namaskard) ที่ซึ่งแอ่งโคลนเดือดปุดๆ และบ่อฟูมาโรลปล่อยไอน้ำออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

จากนั้น คุณจะผจญภัยไปยังน้ำตกที่งดงามอีกแห่ง นั่นคือโกดาฟอสส์ (Godafoss) ชื่อของน้ำตกแห่งนี้มีความหมายว่า "น้ำตกแห่งเทพเจ้า"

ประมาณปี ค.ศ. 900 หัวหน้าเผ่าไวกิ้งได้โยนรูปปั้นเทพเจ้านอกรีตของเขาลงในน้ำตกอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าไอซ์แลนด์กำลังเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ น้ำตกแห่งนี้ตกลงมาจากความสูง 12 เมตร และมีความกว้าง 30 เมตร

ลองสังเกตดูว่ามวลน้ำที่ไหลลดหลั่นลงมามีลักษณะคล้ายรูปเกือกม้าอย่างไรเมื่อแยกออกเป็นสองส่วน เมื่อคุณเสร็จสิ้นวันอันน่าตื่นเต้นอีกวัน คุณจะพักค้างคืนในพื้นที่ไอซ์แลนด์เหนือ ที่ซึ่งคุณจะได้พักผ่อน

วันถัดมาของการสำรวจชนบทไอซ์แลนด์ คุณจะเดินทางไปยังคาบสมุทรสไนแฟลซเนส (Snaefellsnes Peninsula) พื้นที่ที่ได้รับฉายาว่า “ไอซ์แลนด์ฉบับย่อ” เพราะเต็มไปด้วยธรรมชาติหลากหลายรูปแบบ

ภูเขาไฟสลับชั้นธารน้ำแข็งสไนเฟลล์สโจกุล (Snaefellsjokull) ที่อยู่ปลายคาบสมุทรมีความสูงราว 1,446 เมตร และปกคลุมด้วยธารน้ำแข็งสองยอดสุดโดดเด่น

คนที่เป็นนักอ่านอาจจำได้ว่า ที่นี่คือจุดเริ่มต้นของการลงสู่โลกใต้พิภพในนิยายคลาสสิก Journey to the Centre of the Earth ของฌูล แวร์น นอกจากนี้ ธารน้ำแข็งแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยเรื่องเล่า บางตำนานเชื่อว่าพื้นที่รอบธารน้ำแข็งเป็นแหล่งพลังงานโบราณ

บ้างก็ว่าเป็นที่อยู่อาศัยของ “ฮินเด้นพีเพิ้ล” ตามความเชื่อของชาวไอซ์แลนด์

อย่างไรก็ตาม จุดแรกของวันนี้คือภูเขาที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดในไอซ์แลนด์ ภูเขาคิร์กจูเฟลล์ ภูเขาแห่งนี้ปรากฏในซีรีส์ Game of Thrones ของ HBO ในฐานะ “ภูเขาทรงหัวลูกศร” ตามที่ตัวละครเดอะฮาวด์ได้กล่าวถึง

จากนั้นมุ่งหน้าไปยังชายหาดกรวดสีดำดยูปาลอนส์ซานดูร์ (Djupalonssandur) ที่ซึ่งคุณสามารถทดสอบพละกำลังแบบชาวไอซ์แลนด์ดั้งเดิมได้ คุณจะพบก้อนหินขนาดใหญ่สี่ก้อนที่เรียกว่า “หินทดสอบพละกำลัง” ซึ่งชาวประมงโบราณใช้วัดความพร้อมของผู้สมัครสำหรับชีวิตกลางทะเล

หากต้องการเพิ่มความตื่นเต้นให้วันเดินทาง คุณสามารถเลือกไปยังถ้ำวิดเกลมิร์ (Vidgelmir) หนึ่งในโพรงลาวาที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ มีความยาวประมาณ 1,585 เมตร เกิดขึ้นจากลาวาไหลเมื่อราวปี ค.ศ. 900

การเข้าร่วมทัวร์สำรวจถ้ำจะทำให้คุณรู้สึกราวกับกำลังเริ่มต้นการผจญภัยในแนว Journey to the Centre of the Earth ของจริง

เมื่อขับเลียบชายฝั่งต่อไป คุณจะผ่านหมู่บ้านโบราณอย่างอาร์นาร์สตาปี (Arnarstapi) และเฮลล์นาร์ (Hellnar) พื้นที่นี้เต็มไปด้วยภูมิประเทศงดงาม โดยเฉพาะเสาหินบะซอลต์ลอนดรังการ์ (Londrangar) ที่สูงตระหง่านเหนือผืนน้ำทะเล

ที่อาร์นาร์สตาปี คุณจะได้เห็นกัตเคลตตูร์ (Gatklettur) หินโค้งที่เกิดจากการกัดเซาะของธรรมชาติ เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาโขดหิน ฉากนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในมุมโปรดของช่างภาพทั่วโลก

ส่วนเฮลล์นาร์คือหมู่บ้านประมงเก่าแก่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานีประมงใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งบนคาบสมุทร ไฮไลต์คือหน้าผาวาลาสนอน (Valasnon) ที่ยื่นออกไปในทะเล ซึ่งสามารถเปลี่ยนสีไปตามคลื่น มุมลม และช่วงเวลาของวัน

เมื่อสำรวจมาทั้งวันอย่างจุใจ คุณจะเดินทางกลับไปยังที่พักเดิมเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนการผจญภัยในวันถัดไป

เป็นวันสุดท้ายของคุณในประเทศ และถึงเวลาต้องบอกลา

หากคุณมีเที่ยวบินในช่วงท้ายของวันและเลือกที่จะเยี่ยมชมบลูลากูนในวันนี้ คุณจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ก่อนที่จะไปสนามบิน เพราะทะเลสาบบลูลากูนเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการผ่อนคลายขณะที่คุณแช่ตัวในน้ำอุ่นที่อุดมด้วยแร่ธาตุ ขณะที่ทบทวนถึงการผจญภัยอันเหลือเชื่อที่คุณเพิ่งไปพบมาในดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง

หรืออีกทางเลือกหนึ่ง ยังมีอะไรให้ทำในเรคยาวิกได้อีกหลายอย่าง หากคุณยังไม่ได้ซื้อของในวันก่อน คุณสามารถช้อปปิ้งในนาทีสุดท้ายได้ที่ถนนสายหลักเลยกาแวกูร์ (Laugavegur) และคุณยังสามารถเยี่ยมชมสถานที่สำคัญของเมืองที่คุณอาจจะยังไปไม่ครบทั้งหมด

หากคุณมีเที่ยวบินกลับบ้านในช่วงต้นของวันนี้ เราก็ขอให้คุณเดินทางโดยสวัสดิภาพ และเราหวังว่าจะได้พบคุณอีกในเร็วๆ นี้