ทริปขับรถเที่ยวชมธรรมชาติในไอซ์แลนด์ 12 วัน
คำอธิบาย
รายละเอียด
คำอธิบาย
สำหรับโร้ดทริป 12 วัน เดินทางรอบถนนวงแหวนอันโด่งดังของไอซ์แลนด์ทริปนี้ คุณจะเดินทางท่องเที่ยวภายใต้วันที่มีแสงสว่างยาวนานอันเป็นผลมาจากพระอาทิตย์เที่ยงคืน และจะได้ไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดของไอซ์แลนด์ และสถานที่เที่ยวรองที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวรู้จักด้วย แผนการเดินทางในทริปนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับธรรมชาติมหัศจรรย์ของไอซ์แลนด์ในช่วงฤดูร้อน
ทริปนี้คุณจะได้เที่ยวทั่วทั้งเกาะโดยจะเดินทางในทิศทางตามเข็มนาฬิกา คุณจะได้ไปเยือนทางตะวันตกของไอซ์แลนด์ ไปชมความแตกต่างหลากหลายของคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส ไปเที่ยวทางเหนือที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟ สัมผัสธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของทางตะวันออก ชมความงดงามของทางใต้ และตื่นตาตื่นใจไปกับวงกลมทองคำอันโด่งดัง
ข้อดีของการเที่ยวแบบขับรถเองนั้นคือคุณมีอิสระและไม่ต้องมากังวลถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นหรือไกด์ทัวร์ คุณสามารถขับรถไปยังสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งและใช้เวลาได้อย่างที่ต้องการ โดยเราจะมีแผนการท่องเที่ยวที่แนะนำสถานที่ต่างๆ ให้กับคุณ แต่คุณก็สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างที่คุณต้องการ และในแผนการเดินทางนี้ยังจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวนอกเส้นทางให้กับคุณด้วย เผื่อว่าคุณอยากจะหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านและไปดื่มด่ำกับธรรมชาติอันเงียบสงบบ้างในบางครั้งคราว
ตลอดการเดินทางในทริปนี้ คุณยังสามารถเพิ่มกิจกรรมเสริมเข้าไปในแต่ละวันได้ด้วย เพื่อทำให้การเที่ยวไอซ์แลนด์ครั้งนี้เป็นประสบการณ์สุดพิเศษอย่างแท้จริง กิจกรรมและทัวร์เสริมที่มี ได้แก่ ดำน้ำตื้นด้วยสน็อกเกิลในรอยแยกระหว่างแผ่นเปลือกโลกของสองทวีป ขี่สโนว์โมบิลบนธารน้ำแข็ง สำรวจโถงแมกม่าของภูเขาไฟที่สงบแล้ว และขี่ม้าชมธรรมชาติที่งดงามอย่างไม่น่าเชื่อของประเทศไอซ์แลนด์
ให้เราเป็นผู้ดูแลเรื่องรายละเอียดต่างๆ ให้กับคุณเอง ส่วนคุณมีหน้าที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ดีที่ไอซ์แลนด์มอบให้ เราจะจัดเตรียมที่พัก ทัวร์ต่างๆ และบริการรถเช่าเอาไว้ให้คุณล่วงหน้า เมื่อคุณเดินทางมาถึงไอซ์แลนด์ก็สามารถรับรถเช่าไปใช้ได้ทันที
ตรวจสอบจำนวนที่ว่างได้โดยระบุวันที่ที่ต้องการเดินทางและจองทัวร์ขับรถเที่ยวเองฤดูร้อน 12 วันตอนนี้เลย แล้วเตรียมตัวออกไปสำรวจความมหัศจรรย์ของไอซ์แลนด์ภายใต้แสงสว่างของพระอาทิตย์เที่ยงคืนให้สนุกสนานสมกับที่ตั้งใจ
ร่วมด้วย
แผนที่
สถานที่ท่องเที่ยว
กิจกรรม
แผนการเที่ยวรายวัน

วัน 1 - เดินทางมาถึงไอซ์แลนด์
ขอต้อนรับสู่ไอซ์แลนด์! ถึงเวลาที่คุณจะได้ออกสำรวจภูมิประเทศและธรรมชาติอันมหัศจรรย์ของดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็งแล้ว เมื่อเครื่องบินลงจอดและคุณรับกระเป๋าสัมภาระเสร็จเรียบร้อย คุณจะไปรับรถเช่าและออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เรคยาวิก (Reykjavik) เมืองหลวงที่คึกคักและไม่เหมือนเมืองไหนในโลก
ระหว่างทางไปยังเมืองหลวงของไอซ์แลนด์คุณสามารถเลือกแวะที่บลูลากูน (Blue Lagoon) ก่อนได้ สปาที่มีชื่อเสียงระดับโลกแห่งนี้มีชื่อเสียงเรื่องน้ำสีฟ้าสดใสและการบำบัดที่หรูหรา สปาแห่งนี้ตั้งอยู่กลางทุ่งลาวาที่ปกคลุมไปด้วยมอสส์ทำให้มีบรรยากาศแปลกตา หากคุณเลือกเพิ่มบลูลากูนเข้าไปในทริป กิจกรรมนี้จะถูกจัดเข้าในโปรแกรมการเดินทางให้สอดคล้องกับเที่ยวบินของคุณ หากคุณยังไม่มีเวลามากพอที่จะไปในวันนี้ ก็ยังสามารถไปในวันอื่นได้ โดยที่ปรึกษาด้านการเดินทางของคุณจะจัดการเรื่องนี้ให้คุณได้ ในเรคยาวิกและคาบสมุทรเรคยาเนสมีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมมากมายรอคุณอยู่
แต่ถ้าเที่ยวบินของคุณมาถึงในช่วงดึก ให้คุณขับรถไปบนคาบสมุทรเรคยาเนส (Reykjanes) เพื่อไปยังที่พักของคุณในเมืองเรคยาวิกได้เลย คืนนี้คุณจะพักผ่อนให้หายเหนื่อยจากการเดินทางที่ยาวนานกันก่อน

วัน 2 - ไอซ์แลนด์ตะวันตก
ในวันแรกของการเที่ยวไอซ์แลนด์แบบเต็มวันคุณจะเดินทางมุ่งหน้าไปยังภาคตะวันตกของประเทศไอซ์แลนด์ หลังจากที่ขับรถไปทางเหนือประมาณหนึ่งชั่วโมงคุณจะผ่านบอร์การ์เนส (Borgarnes) เมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ เมืองนี้ตั้งอยู่ริมอ่าวและมีวิวสวยงามของภูเขาและผืนน้ำกว้างใหญ่ ผู้ที่หลงใหลเรื่องราวในประวัติศาสตร์จะต้องชื่นชอบพิพิธภัณฑ์ในเมืองนี้ (Viking Settlement museum) ซึ่งให้ความรู้เกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของชาวไวกิ้งยุคบุกเบิกที่เข้ามาอาศัยในไอซ์แลนด์เป็นกลุ่มแรกๆ
จุดแรกที่คุณจะแวะในวันนี้คือน้ำตกเฮรินฟอซซ่าร์ (Hraunfossar) และน้ำตกบาร์นาฟอสส์ (Barnafoss) ที่อยู่นอกถนนวงแหวน แห่งแรกเป็นน้ำตกที่กว้างใหญ่ มีสีสันที่สวยงามจากร่องรอยการไหลผ่านของลาวาเมื่อในอดีต และมีน้ำที่ละลายจากธารน้ำแข็งไหลรวยริน ส่วนแห่งหลังเป็นน้ำตกที่มีพละกำลังแรงกว่ามาก มีกระแสน้ำเชี่ยวไหลผ่านซอกผาอย่างรุนแรงก่อนจะทิ้งตัวลงสู่ถ้ำลึกเบื้องล่าง
หลังจากเที่ยวชมน้ำตกทั้งสองแห่งแล้ว ใครที่สนใจในประวัติศาสตร์ควรไปแวะที่หมู่บ้านเรค์คอร์ค (Reykholt) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของสนอร์ริ สเตอร์ลูซัน (Snorri Sturluson) นักเขียนและบุคคลสำคัญแห่งยุคกลาง ที่สร้างสรรค์ผลงานการเขียนเกี่ยวกับตำนานนอร์สโบราณให้คนทั่วโลกได้รู้จัก และมีบทบาทที่น่าสนใจในสงครามกลางเมืองไอซ์แลนด์
ในวันนี้คุณยังสามารถเพิ่มกิจกรรมเสริมเข้าไปในทริปท่องเที่ยวทางตะวันตกของไอซ์แลนด์ได้ด้วย
ตัวเลือกที่ 1 ไปเที่ยวสปาเครยมา (Krauma) ที่โด่งดัง ที่นี่มีน้ำพุร้อนธรรมชาติและสระน้ำร้อนจากพลังงานความร้อนใต้พิภพที่งดงามให้คุณได้ลงไปแช่ตัวท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของชนบท
ตัวเลือกที่ 2 ไปร่วมกับทัวร์ซูเปอร์จี๊ปที่ออกเดินทางจากฮูสาแฟลล์ (Husafell) และพาขึ้นไปเที่ยวบนธารน้ำแข็งลางโจกุล (Langjokull) และเข้าชมอุโมงค์น้ำแข็งในธารน้ำแข็ง ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเลียนแบบธรรมชาติ คุณจะมีเวลาเที่ยวชมความงามในอุโมงค์อย่างเหลือเฟือและมีไกด์นำทางตลอด
ตัวเลือกที่ 3 ไปร่วมกับทัวร์ที่พาลงไปสำรวจถ้ำลาวาวิดเกลมิร์ (Vidgelmir) พร้อมไกด์นำทาง คุณจะลงไปในอุโมงค์แคบๆ ที่เป็นทางเข้าไปสู่ถ้ำที่กว้างขวางด้านล่างที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งย้อยจำนวนนับไม่ถ้วน รวมถึงหินรูปทรงงดงามและสีสันอันน่าทึ่งจากการปะทุของภูเขาไฟในสมัยโบราณ
ในตอนท้ายของวันนี้คุณจะพักผ่อนในที่พักซึ่งอยู่บนคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส (Snaefellsnes)

วัน 3 - สไนล์แฟลซเนส
ในวันที่สามของทริปนี้ คุณจะได้ไปชมความแตกต่างหลากหลายบนคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส (Snaefellsnes) เพื่อที่จะได้ทราบถึงเหตุผลที่บริเวณได้รับฉายาว่าเป็น "มินิไอซ์แลนด์" จุดแรกที่คุณจะแวะในวันนี้คือโบสถ์ดำแห่งปูดิร์ (Budir) ที่มีภูเขาล้อมรอบ ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ จากนั้นคุณจะมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านเฮลล์นาร์ (Hellnar) และอาร์นาร์สตาปิ (Arnarstapi) เมื่อไปถึงที่นั่น คุณจะมีเวลาเดินสำรวจหินบะซอลต์ที่มีรูปร่างสวยงามมากมายตามแนวชายฝั่ง และจะได้สัมผัสถึงพลังธรรมชาติของมหาสมุทรที่ซัดสาดกระทบกระทั่งจนเกิดเป็นโพรงหินภูเขาไฟมากมายตามขอบหน้าผา
จากนั้นคุณจะไปชมหาดทรายดำที่ตูปาโลนส์ซานดูร์ (Djupalonssandur) ที่สวยงามมากแต่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จัก และบนหาดแห่งนี้มีหินทดสอบพลังอยู่ 4 ก้อน ซึ่งชาวประมงไอซ์แลนด์ใช้ทดสอบความแข็งแกร่งมาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว
ขับรถต่อไปอีกไม่ไกลคุณจะพบกับหินโลนตรังการ์ (Londrangar) แท่งหินบะซอลต์ยอดแหลมรูปร่างแปลกประหลาดที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมผา ที่นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เหมาะสำหรับทดสอบฝีมือการถ่ายภาพ
จุดหมายต่อไปของคุณคือภูเขาที่มีคนมาถ่ายรูปมากที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ ภูเขาเคิร์กจูแฟลล์ (Kirkjufell) ตั้งตระหง่านและมีฉากหลังเป็นน้ำทะเลสวยสดงดงาม คุณสามารถใช้เวลาเพลิดเพลินกับสถานที่สำคัญแห่งนี้และน้ำตกเคิร์กจูแฟลส์ฟอสส์ (Kirkjufellsfoss) ที่อยู่ติดกันได้จนพอใจ และเมื่อข้ามสะพานที่ด้านบนน้ำตกไปแล้วจะเป็นจุดที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพเพราะคุณจะได้น้ำตกเข้าไปอยู่ในเฟรมร่วมกับภูเขาด้วย และก่อนจะบอกลาเคิร์กจูแฟลล์ แนะนำให้คุณไปร่วมกับทัวร์พายคายักเพื่อชมความเงียบสงัดรอบภูเขาด้วย ผืนน้ำที่นิ่งสงบจะทำให้คุณได้เห็นความยิ่งใหญ่และเสน่ห์ของภูเขาลูกนี้ในอีกมุมหนึ่ง และบางครั้งอาจจะมีวาฬออร์กาที่เป็นสัตว์พื้นเมืองของไอซ์แลนด์โผล่มาให้คุณเห็นด้วย นักท่องเที่ยวจึงมักสนใจทัวร์พายคายักที่นี่มากเป็นพิเศษ
จุดแวะสุดท้ายสำหรับวันนี้คือหมู่บ้านสติกกิโฮลมูร์ (Stykkisholmur) หมู่บ้านประมงที่น่าสนใจอีกหนึ่งแห่งที่รายล้อมไปด้วยภูมิประเทศขรุขระและมีท่าเรือบรรยากาศสวยงามแปลกตา คุณสามารถเดินเล่นชมเมืองเงียบเหงาแห่งนี้ได้ภายในเวลาสองสามชั่วโมง หรือจะขับรถไปที่อีกฟากหนึ่งของท่าเรือและปีนขึ้นไปบนยอดผาสูงชันเพื่อชมวิวชายฝั่งทางด้านทิศใต้ของฟยอร์ดทางตะวันตกของไอซ์แลนด์ก็ได้ จากนั้นคุณจะกลับที่พักของคุณในคืนนี้ซึ่งอยู่บนคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส

วัน 4 - ไอซ์แลนด์ตอนเหนือ
วันนี้คุณจะไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในทางเหนือโดยเดินทางผ่านคาบสมุทรโทรลลาสกากิ (Trollaskagi) แต่ก่อนอื่นในระหว่างที่ขึ้นเหนือนั้นคุณอาจจะขับรถออกนอกเส้นทางเล็กน้อยเพื่อไปชมคาบสมุทรวาทน์สเนส (Vatnsnes) ที่นักท่องเที่ยวมักมองข้ามไป ที่นี่มีหินบะซอลต์ฮวิทแซร์กูร์ (Hvitserkur) รูปร่างแปลกประหลาดที่นักท่องเที่ยวบอกว่ามองดูคล้ายช้างหรือมังกรกำลังก้มกินน้ำ แต่อันที่จริงแล้วหินนี้เป็นเพียงเศษซากของภูเขาไฟเก่าที่หลงเหลืออยู่
จากนั้นคุณจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่น่าสนใจแห่งแรกในเมืองโฮฟซอส (Hofsos) บนคาบสมุทรโทรลลาสกากิ และสถานที่ที่โดดเด่นที่สุดในเมืองนี้คือสระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้พูลที่ตั้งอยู่ริมหน้าผา ทำให้ผู้ที่แช่น้ำสามารถมองเห็นวิวที่สวยที่สุดได้ในขณะที่เพลิดเพลินกับน้ำอุ่นๆ
เสร็จแล้วคุณจะเดินทางต่อไปในทางเหนือของคาบสมุทรจนกระทั่งถึงเมืองสิกลูฟยอร์ดูร์ (Siglufjordur) เมืองที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดอีกหนึ่งแห่งของไอซ์แลนด์ เมืองนี้ตั้งอยู่ที่บริเวณด้านล่างของฟยอร์ดและมีชื่อเมืองที่มีความหมายว่าการตกปลา สถานที่ท่องเที่ยวน่าไปเช็คอินในเมืองนี้ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ยุคแฮริ่ง (Herring Era Museum) ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของอุตสาหกรรมประมงในไอซ์แลนด์
หากคุณเดินทางไปทางทิศใต้แถวเมืองเล็กๆ ที่ชื่อดาลวิก (Dalvik) คุณจะมีตัวเลือกกิจกรรมที่แปลกใหม่อย่างการไปสปาเบียร์ ซึ่งสปาแห่งนี้อยู่ที่หมู่บ้านอาร์สโกซานดูร์ (Arskogssandur) และมอบประสบการณ์สุดพิเศษที่คุณจะได้ลงไปแช่ตัวในน้ำยีสต์และฮอปส์ที่ผ่านการหมักบ่มจมได้ที่ พร้อมกับจิบเบียร์เย็นๆ (ถ้าคุณอายุถึงเกณฑ์!)
หลังจากนั้นคุณจะเดินทางต่อไปจนถึงเมืองอาคูเรย์ริ (Akureyri) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของทางเหนือ ถ้ายังพอมีเวลาเหลือคุณสามารถไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ ร้านค้าบูติก หรือสวนพฤกษศาสตร์ที่อยู่ในเมืองได้เลย หรือหากคุณเหนื่อยมากแล้ว คุณอาจจะอยากไปแวะชิมไอศกรีมอร่อยๆ ที่ร้านดังประจำเมืองก่อนก็ได้ จากนั้นค่อยไปยังที่พักของคุณในคืนนี้ ซึ่งอยู่ในเมืองอาคูเรย์ริ

วัน 5 - ศูนย์กลางแห่งการดูวาฬของยุโรป
วันที่ห้าในไอซ์แลนด์คุณจะไปสำรวจวงกลมเพชร (Diamond Circle) ที่สวยงาม หลังจากออกจากเมืองอาคูเรย์ริและขับขึ้นไปทางเหนือของฟยอร์ดที่อยู่ใกล้ๆ กันแล้ว คุณจะไปแวะเที่ยวเมืองประมงที่ชื่อว่าฮูสาวิค (Husavik) เป็นแห่งแรก เมืองนี้เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหลักของภาพยนตร์เรื่องไฟร์ซาก้า: ไฟ ฝัน ประชัน เพลง ที่นำแสดงโดยวิล ฟาร์เรลล์ และได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการดูวาฬของยุโรปด้วยเนื่องจากมีสัตว์น้ำชุมมากโดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน
คุณสามารถเลือกไปเข้าร่วมกับทัวร์ดูวาฬในทะเลที่ฮูสาวิคได้ทั้งทัวร์แบบที่ใช้เรือธรรมดาและทัวร์เรือยาง RIB ที่เข้าไปใกล้วาฬได้มากกว่า ซึ่งในน่านน้ำบริเวณนี้คุณมีโอกาสที่จะได้เห็นวาฬหลังค่อม วาฬสเปิร์ม วาฬฟิน วาฬมิงก์ หรือแม้แต่วาฬออร์กาด้วยถ้าโชคดี
แต่ถ้าคุณไม่อยากไปดูวาฬ วันนี้คุณก็สามารถเลือกไปแช่ตัวที่อ่างน้ำร้อนจีโอซีได้ (Geosea) น้ำที่นี่มีทั้งน้ำร้อนจากพลังงานความร้อนใต้พิภพและน้ำทะเล และตั้งอยู่ท่ามกลางท้องทะเลที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตาของภาคเหนือ เหมาะสำหรับมาผ่อนคลายร่างกายด้วยการแช่น้ำในแบบฉบับของชาวไอซ์แลนด์หลังจากที่คุณตรากตรำกับการเที่ยวมาหลายวัน
แต่ถ้าคุณเกิดรักพี่เสียดายน้องอยากไปดูวาฬแต่ก็อยากแช่น้ำด้วย ก็ไม่ต้องกังวลเพราะคุณสามารถทำได้ทั้งสองกิจกรรมเลยในวันนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการใช้เวลาในทางเหนือของไอซ์แลนด์ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
หากคุณอยากขับรถไกลหน่อยเพื่อให้ได้เห็นธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ในพื้นที่ห่างไกลของไอซ์แลนด์ ให้คุณเดินทางไปที่หุบเขาเอาส์บิร์กิ (Asbyrgi) ที่มีรูปร่างคล้ายเกือกม้า ซึ่งตำนานพื้นบ้านบอกว่าหุบเขานี้เกิดขึ้นจากการที่ม้า 8 ขาของโอดินกระทืบพื้นดินนั่นเอง พื้นที่เงียบสงบบริเวณนี้เต็มไปด้วยพืชพรรณและสัตว์ในธรรมชาติและยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักด้วย
ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังแถบมิวาทน์ (Myvatn) คุณจะไปชมน้ำตกเดตติฟอสส์ (Dettifoss) น้ำตกที่แรงที่สุดในยุโรปกันก่อน ซึ่งน้ำตกนี้อยู่ในฉากแรกของภาพยนตร์ไซไฟคลาสสิกเรื่องโพรมีธีอุส (Prometheus) หากคุณมีเวลามากพอคุณสามารถเดินย้อนขึ้นไปตามลำธารเพื่อไปเที่ยวน้ำตกเซลฟอสส์ (Selfoss) ที่มีขนาดเล็กกว่าแต่สวยไม่แพ้กันได้ด้วย
วันนี้คุณยังสามารถเพิ่มกิจกรรมการแช่น้ำที่อ่างน้ำธรรมชาติมิวาทน์ (Myvatn Nature Baths) เข้าไปในทริปก่อนกลับที่พักได้ด้วย อ่างน้ำที่นี่เป็นอ่างธรรมชาติแบบดั้งเดิมที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศแบบภูเขาไฟ หลังจากเที่ยวเหนื่อยมาทั้งวัน การได้แช่น้ำและชมวิวสวยๆ ภายใต้แสงอาทิตย์เที่ยงคืนจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างแน่นอน
ที่พักของคุณในคืนนี้อยู่แถวมิวาทน์

วัน 6 - มุ่งหน้าสู่ตะวันออก
เช้าวันที่หกในไอซ์แลนด์คุณจะใช้เวลาเที่ยวชมสถานที่งดงามในแถบมิวาทน์กันก่อน ซึ่งมีทะเลสาบที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง มีพืชพรรณนานาชนิดและมีนกมาทำรังจำนวนมากในช่วงฤดูร้อน ระหว่างที่สำรวจภูมิประเทศแถบนี้ คุณจะเห็นปล่องภูเขาไฟและหินรูปร่างประหลาดมากมาย ทำให้แถบนี้มีภูมิประเทศหรือลักษณะเฉพาะของพื้นที่ภูเขาไฟที่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บนดาวอังคาร
จุดแรกที่คุณจะแวะคือป้อมปราการดิมมูบอร์กิร์ (Dimmuborgir) แม้ที่นี่จะไม่ใช่ป้อมปราการของจริง แต่กลุ่มหินรูปทรงพิลึกที่เป็นผลพวงมาจากการเย็นตัวลงหลังจากการปะทุของภูเขาไฟในสมัยโบราณก็มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับปราสาท ป้อมปราการ หรือกำแพงลึกลับน่าพิศวง ซึ่งบรรยากาศที่น่าขนลุกของสถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ชาวไอซ์แลนด์ในยุคแรกคิดว่าแถวนี้เป็นประตูสู่นรก
สถานที่แห่งต่อไปคือพื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพเนามาสการ์ด (Namaskard) ที่เต็มไปด้วยควันและไอจากก๊าซ ที่นี่มีเสน่ห์เฉพาะตัวและคุณสามารถเข้าไปดูช่องระบายก๊าซหน้าตาแปลกประหลาดเหล่านี้ใกล้ๆ ได้ด้วย
หลังจากนั้นคุณจะเดินทางไปทางตะวันออกเพื่อไปยังเมืองเอกิลสตาดีร์ (Egilsstadir) แต่ก่อนที่จะเช็คอินเข้าที่พักในวันนี้คุณอาจจะอยากไปเที่ยวที่ทะเลสาบลาการ์ฟโลย์ท (Lagarfljot) และฮาลอร์มสตาร์ดาสโกการ์ (Hallormsstadaskogur) ก่อน ลาการ์ฟโลย์ทเป็นสถานที่ที่มีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของทางตะวันออก ว่ากันว่าที่นี่มีหนอนยักษ์อาศัยอยู่ในน้ำคล้ายกับสัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส ส่วนฮาลอร์มสตาร์ดาสโกการ์นั้นเป็นพื้นที่ป่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ตั้งอยู่ติดกับเขตอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล และมีเส้นทางเดินป่าสำหรับชมธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของไอซ์แลนด์ ที่นี่ยังเป็นอีกจุดหนึ่งในไอซ์แลนด์ที่พบเห็นสัตว์พื้นเมืองอย่างกวางเรนเดียร์ได้บ่อยด้วย
ก่อนที่จะกลับเข้าที่พักของคุณในคืนนี้ คุณสามารถเลือกไปทำกิจกรรมเสริมได้อีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือการไปแช่น้ำแร่ร้อนที่อ่างน้ำธรรมชาติเวิก (Vok Baths) สระน้ำพลังงานความร้อนใต้พิภพที่เวิกนี้ตั้งอยู่ในทะเลสาบท่ามกลางบรรยากาศที่งดงามอย่างไม่น่าเชื่อ และหลังจากที่เดินทางมาตลอดทั้งวัน กิจกรรมนี้น่าจะช่วยผ่อนคลายได้มาก
ที่พักของคุณในคืนนี้อยู่ในเอกิลสตาดีร์

วัน 7 - เมืองน่ารักริมฟยอร์ดทางตะวันออก
วันนี้คุณจะเดินทางผ่านฟยอร์ดทางตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ถูกมองข้ามมากที่สุดในไอซ์แลนด์ และเป็นความลับที่ถูกปิดบังจนแทบไม่มีใครรู้เลยว่าพื้นที่นี้มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ มีภูเขา น้ำตก และหมู่บ้านประมงที่แปลกตาหลายแห่ง จึงเหมาะกับการแวะเที่ยวมาก
ระหว่างเดินทางไปทางทิศใต้ คุณสามารถออกนอกเส้นทางเพื่อไปเที่ยวที่บอร์การ์ฟยอร์ดูร์ เอสทรี (Borgarfjordur Eystri) ฟยอร์ดอันห่างไกล ที่งดงามมากที่สุดอีกหนึ่งแห่งของไอซ์แลนด์ ซึ่งมีตำนานพื้นบ้านมากมายและมีทางเลือกมากมายสำหรับคนที่ชอบเดินป่า
ขับรถจากเอกิลสตาดีร์ไป 30 นาทีจะถึงเมืองเซย์ดิสฟยอร์ดูร์ (Seydisfjordur) ที่อยู่ริมฟยอร์ด นี่เป็นอีกเมืองหนึ่งที่คุณไม่ควรพลาดเพราะมีทั้งภูเขาและน้ำตกมากมาย แต่สิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองนี้มากที่สุดคือโบสถ์สีฟ้าที่มีทางเดินเข้าโบสถ์เป็นสีรุ้งสดใสเหมาะสำหรับถ่ายภาพลงอินสตาแกรม
เมื่อเดินทางต่อไปทางใต้คุณจะเจอกับหมู่บ้านประมงอีกมากมายหลายแห่งตามริมฟยอร์ดทุกแห่งที่คุณขับผ่าน ในบรรดาหมู่บ้านเหล่านั้น จูปิโวกูร์ (Djupivogur) และเฟาส์กรูดสฟยอร์ดูร์ (Faskrudsfjordur) มีความน่าสนใจมากที่สุด จูปิโวกูร์ล้อมรอบด้วยแนวชายฝั่งของฟยอร์ดถึง 3 แห่ง ทำให้มีทิวทัศน์ตระการตาเหมาะสำหรับการถ่ายภาพ ส่วนเฟาส์กรูดสฟยอร์ดูร์เป็นชุมชนที่อยู่ทางตะวันออกสุดของไอซ์แลนด์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใจกลางฟยอร์ดตะวันออกพอดิบพอดี ตามบันทึกประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่าหมู่บ้านนี้เคยเป็นศูนย์กลางการค้าเมื่อปี 1880 และมีสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับชาวประมงฝรั่งเศส ซึ่งเดินทางมาเยือนอยู่บ่อยๆ ทำให้เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองที่มีมรดกทางวัฒนธรรมของฝรั่งเศสหลงเหลืออยู่มากมาย หากคุณลงไปเดินอยู่ในเมืองก็อาจจะรู้สึกสับสนกับป้ายต่างๆ ที่เป็นภาษาฝรั่งเศส
ก่อนออกจากฟยอร์ดทางตะวันออก คุณจะผ่านภูเขาเอสตราฮอร์น (Eystrahorn) และภูเขาเวสตราฮอร์น (Vestrahorn) ทั้งสองเป็นภูเขายอดแหลมที่มีเสน่ห์ไม่น้อยจึงมีคนเดินทางมาถ่ายภาพมากมาย โดยเฉพาะในช่วงที่พระอาทิตย์ตก ช่วงที่มีแสงเหนือ และช่วงฤดูที่มีพระอาทิตย์เที่ยงคืน
จากนั้นคุณจะเดินทางไปยังที่พักที่อยู่ในเมืองเฮิฟน์ (Hofn) ซึ่งเป็นเมืองประมงอีกหนึ่งแห่ง

วัน 8 - อุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล
ในวันที่แปดคุณจะไปสำรวจธรรมชาติสวยๆ ของอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล (Vatnajokull) กัน และจุดแวะแรกของวันนี้คือคือที่สุดแห่งสถานที่ท่องเที่ยวของไอซ์แลนด์ นั่นก็คือทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน (Jokulsarlon) ซึ่งคุณจะได้เห็นภูเขาน้ำแข็งจำนวนมากลอยละล่องอยู่ในทะเลสาบในขณะที่พวกมันค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่ง แต่ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะคุณจะข้ามถนนไปเที่ยวหาดไดมอนด์ที่อยู่ใกล้ๆ กันด้วย ซึ่งที่ถูกเรียกเช่นนี้ก็เนื่องจากภูเขาน้ำแข็งที่ถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นอยู่บนหาดแห่งนี้กำลังค่อยๆ ละลายและเมื่อพวกมันถูกแสงอาทิตย์สาดส่องนานเข้าก็จะเกิดเป็นประกายระยิบระยับ คุณสามารถเดินเล่นอยู่บนหาดแห่งนี้เพื่อชื่นชมก้อนน้ำแข็งจากธารน้ำแข็งเหล่านี้แบบใกล้ชิดได้จนกว่าจะพอใจ
ในช่วงหน้าร้อนคุณสามารถไปเข้าร่วมกับทัวร์ล่องเรือที่โจกุลซาลอนได้ด้วย ซึ่งมีตัวเลือกสองแบบด้วยกัน
ตัวเลือกที่ 1 เป็นการไปเข้าร่วมกับทัวร์ล่องเรือสะเทินน้ำสะเทินบก แล้วล่องเรือท่ามกลางภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาในทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน ในทัวร์นี้คุณจะเดินทางไปพร้อมกับนักท่องเที่ยวอื่นๆ อีกจำนวนมาก
ตัวเลือกที่ 2 เป็นการไปเข้าร่วมกับทัวร์ล่องเรือท้องแบนโซดิแอกในทะเลสาบ ทัวร์นี้เป็นทัวร์กลุ่มเล็กกว่าและจะพาคุณเข้าไปประชิดภูเขาน้ำแข็งแต่ละลูกแบบใกล้มาก และระหว่างนี้ให้คุณจับตามมองตามก้อนน้ำแข็งให้ดีเพราะอาจจะมีแมวน้ำอยู่บนนั้น
หลังจากที่เดินทางต่อบนถนนอีกระยะสั้นๆ คุณสามารถไปแวะเที่ยวทะเลสาบธารน้ำแข็งฟยาลล์ซาร์ลอน (Fjallsarlon) ได้อีกหนึ่งแห่ง เพื่อชมความงามของทะเลสาบธารน้ำแข็งในแบบไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก เพราะที่นี่เป็นที่รู้จักน้อยกว่า
สถานที่แวะสุดท้ายของวันนี้คือเขตอนุรักษ์ธรรมชาติสกัฟตาเฟลล์ (Skaftafell) ที่มีเส้นทางเดินป่ามากมาย และคุณจะได้เดินผ่านทั้งทุ่งลาวา ภูเขา และผืนน้ำแข็ง เส้นทางที่มีชื่อมากที่สุดเป็นทางไปน้ำตกสวาร์ติฟอสส์ (Svartifoss) ที่มีเสาหินบะซอลต์หกเหลี่ยมเรียงรายอยู่รอบน้ำตก มองดูสวยงามและเป็นเส้นทางที่เดินได้ค่อนข้างง่าย
สำหรับผู้ที่อยากทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์ในวันนี้ คุณอาจจะเพิ่มทัวร์ปีนธารน้ำแข็งระยะเวลา 3 ชั่วโมงที่ผืนน้ำแข็งของธารน้ำแข็งสกัฟตาเฟลล์เข้าไปในทริป ซึ่งไกด์นำทางจะมีหมวกกันน็อก รองเท้าเกาะน้ำแข็ง และขวานน้ำแข็งเตรียมไว้ให้คุณ พร้อมกับจะบรีฟแนวทางด้านความปลอดภัยให้คุณฟังก่อนที่จะพาทุกคนออกเดินทางบนผืนน้ำแข็ง คุณจะมีโอกาสได้ปีนป่ายขึ้นไปยังส่วนบนของธารน้ำแข็ง ผ่านเหวลึก และตื่นตาตื่นใจไปกับวิวที่งดงามของแถบนี้
หากคุณเลือกที่จะไปเข้าร่วมกับทัวร์ปีนธารน้ำแข็ง ให้คุณพกขวดน้ำติดไปด้วย เพราะจะได้ไปชิมน้ำที่บริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่คุณเคยดื่ม คืนนี้ที่พักของคุณอยู่ในเมืองวิก (Vik) ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ

วัน 9 - ชายฝั่งทางใต้
ในวันที่เก้าของทัวร์นี้คุณจะไปเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดตามแนวชายฝั่งทางใต้ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ของประเทศไอซ์แลนด์ สถานที่แรกของวันนี้คือหุบเขาฟยาดราร์กลูย์ฟูร์ (Fjadrargljufur) หน้าผาสูงตระหง่านที่มีกระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลผ่าน แม้ว่าที่นี่อาจจะยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก แต่เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากที่พักของคุณเมื่อคืนนี้ จึงคุ้มค่าแก่การขับรถเข้าไปแวะชม ใครที่เป็นแฟนซีรีส์เกมออฟโธรนส์อาจจะคุ้นๆ กับสถานที่แห่งนี้เนื่องจากเป็นจุดที่ใช้ถ่ายทำฉากมังกรบินในตอนสุดท้ายที่มีจอห์น สโนว์ กับคาลิซี
หลังจากออกจากหุบเขาฟยาดราร์กลูย์ฟูร์แล้วคุณจะเดินทางผ่านทุ่งลาวาที่เกิดขึ้นหลังจากการระเบิดของภูเขาไฟลาคิ (Laki) เมื่อปี 1783 ซึ่งเล่าต่อกันมาว่าการปะทุครั้งนี้กินเวลาเกือบเจ็ดเดือนและคร่าชีวิตคนและสัตว์ส่วนใหญ่ของไอซ์แลนด์ และขี้เถ้าจากการระเบิดครั้งนี้ส่งผลกระทบรุนแรงมากต่อการเก็บเกี่ยวพืชผลของประเทศในแถบยุโรปตะวันตก ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าสุดท้ายนั้นเชื่อมโยงไปถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสด้วย
ผู้ที่อยากทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์สามารถเลือกเพิ่มทัวร์เที่ยวถ้ำน้ำแข็งเข้าไปในทริปวันนี้ได้ ไกด์จะไปรับคุณจากที่หมู่บ้านวิก (Vik) และมีหมวกนิรภัยกับรองเท้าตะปูให้ พร้อมอธิบายถีงวิธีการเที่ยวถ้ำอย่างปลอดภัยให้ฟังก่อนที่จะพาคุณขึ้นไปที่บริเวณด้านบนของธารน้ำแข็งมิร์ดาลสโจกุลล์ (Myrdalsjokull) และเมื่อขึ้นไปถึงแล้วจะพาคุณเข้าไปชมภายในถ้ำน้ำแข็งอันงดงามที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนไหวของธารน้ำแข็งที่อยู่เหนือภูเขาไฟคัทลา (Katla) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์
จากนั้นคุณจะไปเที่ยวหาดทรายดำเรย์นิสฟยารา (Reynisfjara) ที่โด่งดังมาก ชายหาดภูเขาไฟแห่งนี้มีเสน่ห์แบบอึมครึมและตามแนวชายฝั่งเต็มไปด้วยหน้าผาและถ้ำหินบะซอลต์ และยังมีโขดหินเรนิสแดรงเกอร์ (Reynisdrangar) ในทะเลที่ตำนานบอกว่าเป็นโทรลล์ 2 ตัวที่หนีขึ้นฝั่งไม่ทันเลยโดนแสงอาทิตย์ส่องจนกลายร่างเป็นหิน
หลังจากนั้นคุณจะไปดูหินโค้งดิร์โฮลาเอย์ (Dyrholaey) ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งนอกจากจะเหมาะสำหรับมาชมวิวในหน้าร้อน ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดอีกแห่งหนึ่งในไอซ์แลนด์สำหรับการดูนกพัฟฟิน เจ้านกชนิดนี้น่าสนใจตรงที่พวกมันไม่ค่อยกลัวคนและยอมให้นักท่องเที่ยวเช้าไปดูใกล้ๆ ได้
สถานที่ท่องเที่ยวสองแห่งสุดท้ายของวันนี้คือน้ำตกสโกกาฟอสส์ (Skogafoss) และน้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์ (Seljalandsfoss) ซึ่งมีความสูงราว 60 ม. เท่าๆ กัน แต่น้ำตกสโกกาฟอสส์นั้นมีพละกำลังแรงกว่ามาก ทำให้มีละอองน้ำฟุ้งเป็นบริเวณกว้างและมักจะมีรุ้งกินน้ำโผล่มาให้เห็นอยู่เป็นประจำในวันที่มีแสงแดด และตามตำนานบอกว่ามีหีบสมบัติซ่อนอยู่ที่ด้านหลังของน้ำตกด้วย ส่วนน้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์ที่มีน้ำไหลรวยรินสวยงามตามแนวสันเขาเดียวกับที่น้ำตกกลูยฟราบูอิ (Gljufrabui) ซ่อนตัวอยู่นั้นมีลักษณะที่โดดเด่นสะดุดตามาก ในช่วงหน้าร้อนคุณสามารถเดินเข้าไปชมที่ด้านหลังของน้ำตกเซลยาแลนศ์ฟอสส์ได้เนื่องจากที่ด้านหลังของน้ำตกมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่
หลังจากท่องเที่ยวและผจญภัยมาทั้งวัน คุณจะไปพักผ่อนในที่พักของคืนนี้ซึ่งอยู่ในบริเวณเซลฟอสส์ (Selfoss)

วัน 10 - วงกลมทองคำ
วันนี้คุณจะไปสัมผัสกับเส้นทางท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไอซ์แลนด์ นั่นก็คือวงกลมทองคำ ซึ่งได้ชื่อว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าทึ่งมากมายและอยู่ใกล้กับเมืองเรคยาวิก ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันที่คุณจะได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไมไอซ์แลนด์จึงถูกเรียกว่าดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง สถานที่แห่งแรกที่คุณจะแวะในวันนี้คืออุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์ (Thingvellir) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก ธิงเวลลีร์ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างแผ่นเปลือกโลกของสองทวีป (ทวีปอเมริกาเหนือและยูเรเชียน) ซึ่งเต็มไปด้วยป่าไม้ น้ำตก หุบเขา ร่องเหว และแหล่งน้ำพุธรรมชาติ นอกจากมีธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ที่นี่ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้วยเพราะเมื่อปีค.ศ. 930 เคยมีการสร้างสภาแห่งแรกของโลก (Althingi) ขึ้นที่นี่
หากคุณสนใจความรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยาของไอซ์แลนด์ แนะนำให้คุณไปเข้าร่วมกับทัวร์ดำน้ำตื้นที่รอยแยกซิลฟรา (Silfra) ซึ่งเป็นจุดเดียวในโลกที่คุณจะได้เห็นการแบ่งแยกตัวของแผ่นเปลือกโลกสองแผ่นแบบชัดเจนต่อหน้าต่อตา และการดำน้ำด้วยสน็อกเกิลในบริเวณนี้จะเป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อมากเพราะที่นี่ได้น้ำจากธารน้ำแข็งที่ใสแจ๋วราวกับคริสตัลมาเติมเต็ม ทำให้มีทัศนวิสัยที่ชัดเจนจนสามารถมองเห็นรูปทรงของหินใต้น้ำได้ไกลถึง 100 ม.
ต่อไปคุณจะได้ไปเยือนพื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพไกเซอร์ซึ่งเป็นแดนสวรรค์สำหรับกิจกรรมของภูเขาไฟ มีทั้งบ่อโคลนเดือดปุดและช่องระบายไอน้ำร้อนที่คล้ายคลึงกับบริเวณแถบทางเหนือที่คุณไปเยือน ซึ่งที่นี่จะทำให้คุณเข้าใจมากขึ้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในภูเขาไฟใต้ผืนดินที่คุณกำลังเหยียบย่ำอยู่ โดยคุณจะพบว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไปยืนมุงอยู่รอบๆ น้ำพุร้อนที่ชื่อว่าสโทรคูร์ (Strokkur) ซึ่งจะพ่นน้ำเดือดขึ้นฟ้าสูงถึง 20 ม. ในทุก 5-10 นาที ซึ่งจะทำให้คุณมีเวลาอย่างเหลือเฟือและน่าจะได้เห็นการพ่นน้ำหลายครั้งด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายของวันนี้คือน้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) อันยิ่งใหญ่ซึ่งได้รับน้ำมาจากการที่น้ำแข็งบนธารน้ำแข็งลางโจกุล (Langjokull) ละลายและไหลมาตามแม่น้ำฮวิทเอา (Hvita) น้ำตกที่ดังสนั่นหวั่นไหวนี้มีความสูง 32 ม. และลดหลั่นเป็นสองชั้นก่อนไหลลงสู่ถ้ำที่ธรรมชาติแกะสลักไว้อย่างงดงามที่ด้านล่าง
หากคุณต้องการเพิ่มกิจกรรมที่ทำให้อะดรีนาลีนสูบฉีด คุณสามารถเลือกไปเข้าร่วมกับทัวร์ขี่สโนว์โมบิลในวันนี้ แล้วคุณจะไปพบกับไกด์ที่ด้านนอกศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่น้ำตกกุลล์ฟอสส์เพื่อรับอุปกรณ์และเตรียมความพร้อมโดยฟังคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยก่อนออกเดินทางขึ้นไปที่ด้านบนของธารน้ำแข็งลางโจกุลด้วยมอนสเตอร์ทรัคที่ดัดแปลงมาให้เหมาะกับทุกสภาพการขับขี่ เมื่อขึ้นไปถึงที่ด้านบนสุด คุณจะสนุกตื่นเต้นไปกับการขี่สโนว์โมบิลโลดโผนโจนทะยานผ่านทุ่งน้ำแข็งที่มีหิมะปกคลุมขาวโพลน พร้อมเพลิดเพลินไปกับวิวอันงดงามของยอดเขาและหุบเขาที่รายล้อมอยู่รอบตัวคุณ
ในช่วงเย็นคุณจะเข้าพักในที่พักของคุณซึ่งอยู่ในเมืองเรคยาวิก

วัน 11 - เรคยาวิก
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่คุณจะอยู่ในเรคยาวิกแบบเต็มวัน และคุณมีตัวเลือกมากมายขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการใช้เวลาในวันนี้อย่างไร
ตัวเลือกที่ 1 ใช้เวลาอย่างช้าๆ ก่อนสิ้นสุดทริปนี้ด้วยการเที่ยวในเมืองเรคยาวิกที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา โดยคุณอาจจะไปเยี่ยมชมแลนด์มาร์คและสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง หอศิลป์ สตูดิโอ และพิพิธภัณฑ์ หรือดื่มด่ำกับบรรยากาศของดาวน์ทาวน์ด้วยการไปนั่งชิลล์ในร้านกาแฟก็ได้ ตัวเลือกนี้น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่ต้องการสำรวจร้านแฟชั่นของเรคยาวิกและต้องการเลือกซื้อของฝากก่อนที่จะบินกลับบ้านในวันพรุ่งนี้
ตัวเลือกที่ 2 ซื้อทัวร์ลงไปชมโถงแมกมาที่อยู่ใต้ภูเขาไฟทรีฮนูคาร์กีกูร์ (Thrihnukagigur) ซึ่งสงบแล้ว โดยโถงแมกมาของทรีฮนูคาร์กีกูร์ไม่ได้ยุบหายไปเองหลังจากที่ภูเขาไฟสงบเหมือนกับภูเขาไฟลูกอื่น แต่แมกมานั้นถูกระบายออกไปจนหมด ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวในโลกที่คุณสามารถเข้าไปชมโถงแมกมาที่ว่างเปล่าด้านในภูเขาไฟได้
คุณจะลงไปด้านล่างด้วยคานที่ถูกหย่อนลึกลงไปในถ้ำขนาดมหึมาหน้าตาแปลกประหลาด และเมื่อลงไปใกล้ถึงฐานด้านล่าง คุณจะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่เริ่มปะทะกับผิวหน้า ซึ่งที่ด้านล่างคุณจะมีเวลามากมายในการสำรวจถ้ำและชื่นชมหินรูปร่างต่างๆ และสีสันที่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อจนทำให้การมาเที่ยวที่นี่เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีที่สุดในไอซ์แลนด์
ตัวเลือกที่ 3 แทนที่จะใช้เวลาทั้งวันไปกับเมืองเรคยาวิก คุณจะแบ่งเวลาครึ่งวันไปเข้าร่วมกับทัวร์ขี่ม้าระยะเวลา 2 ชั่วโมง ซึ่งคุณจะเดินทางไปยังคอกม้าที่อยู่นอกเมือง และขี่ม้าไอซ์แลนด์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเที่ยวชมธรรมชาติในบริเวณนั้น นี่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสัมผัสกับธรรมชาติและวัฒนธรรมการขี่ม้าของชาวไอซ์แลนด์
ตัวเลือกที่ 4 ใช้เวลาว่างที่เหลือจากการเที่ยวชมเมืองเรคยาวิกไปเข้าชมฟลายโอเวอร์ (FlyOver) ซึ่งเป็นเครื่องเล่นชนิดหนึ่งที่คุณจะขึ้นไปนั่งห้อยขาลอยต่องแต่งห่างจากพื้น 20 เมตร ที่บริเวณหน้าจอทรงกลมและสัมผัสความระทึกแบบ 4 มิติเป็นเวลา 30 นาที ซึ่งนับว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดในไอซ์แลนด์ โดยคุณจะได้เห็นธรรมชาติที่สวยงามของไอซ์แลนด์ตั้งแต่บนยอดเขาไปจนถึงฐานของฟยอร์ด และในขณะที่คุณเดินทางผ่านภูมิประเทศและแลนด์มาร์คมากมายนี้ คุณยังจะมีโอกาสได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวอื่นที่คุณไม่ได้ไปเยือนในทริปครั้งนี้ด้วย
สำหรับคืนสุดท้ายในไอซ์แลนด์นี้ที่พักของคุณอยู่ในเมืองเรคยาวิก

วัน 12 - เดินทางกลับ
เช้าวันนี้คุณจะขับรถเป็นระยะทางสั้นๆ เพียง 40 นาทีจากคาบสมุทรเรคยาเนสไปยังสนามบินนานาชาติเคฟลาวิก เพื่อไปส่งคืนรถเช่าและเดินทางไปยังอาคารผู้โดยสาร
ผู้ที่มีเที่ยวบินในช่วงสายสามารถเลือกไปเที่ยวบลูลากูนในวันนี้ได้ เพื่อปิดทริปแบบผ่อนคลายก่อนที่จะเดินทางไปสนามบิน ซึ่งบลูลากูนเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับมาแช่น้ำแร่ร้อนให้ร่างกายหายเมื่อยล้าในขณะที่นึกย้อนไปถึงประสบการณ์การผจญภัยสนุกๆ ที่คุณเพิ่งสัมผัสมาในดินแดนแห่งน้ำแข็งและไฟ หากเที่ยวบินของคุณออกในช่วงเย็นหรือค่ำ คุณก็ยิ่งมีกิจกรรมให้ทำในเรคยาวิกได้อีกมาก แต่หากเที่ยวบินของคุณอยู่ในช่วงเช้า เราก็ขอให้คุณเดินทางกลับบ้านอย่างมีความสุข
สิ่งที่ควรนำไป
สิ่งที่ควรรู้
ทริปขับรถเที่ยวครั้งนี้สามารถเริ่มต้นออกเดินทางได้จากทั้งในเมืองเรคยาวิก หรือสนามบินนานาชาติเคฟลาวิก ผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถจะต้องมีใบอนุญาตขับขี่ที่ยังไม่หมดอายุและมีประสบการณ์ในการขับรถบนท้องถนนอย่างน้อยหนึ่งปี ทั้งนี้แผนการท่องเที่ยวที่จัดไว้อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับวันเวลาที่คุณเดินทางมาถึงไอซ์แลนด์ด้วย
โปรดทราบว่าสำหรับกิจกรรมบางอย่างที่คุณเลือก คุณอาจจะต้องมีใบอนุญาตขับขี่ที่ยังไม่หมดอายุ หรือคุณอาจจะต้องส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้กับผู้วางแผนการเดินทางของคุณ และคุณอาจจะต้องแสดงเอกสารรับรองทางการแพทย์ในการดำน้ำตื้น
และถึงแม้จะเป็นช่วงฤดูร้อน แต่อากาศที่ไอซ์แลนด์ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้น โปรดเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมมาด้วย
ที่พัก
ดูระดับของที่พักของเราที่ด้านล่างนี้ และดูรายชื่อผู้ให้บริการที่พักที่เราแนะนำได้ที่ใต้แผนการเดินทางในแต่ละวัน หากจองเข้าพักเพียงท่านเดียวจะได้รับห้องแบบซิงเกิล หากจองเข้าพักสองท่านขึ้นไปจะได้ห้องพักที่มีเตียงทวิน/เตียงดับเบิ้ล หรือเตียงทริปเปิ้ล
สำหรับวัยรุ่นและเด็กจะถูกจัดให้พักห้องเดียวกับผู้ปกครอง หากต้องการห้องเพิ่มจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เมื่อคุณทำการจองกับเรา Guide to Iceland จะจัดหาที่พักที่ดีที่สุดจากพันธมิตรที่เราแนะนำให้กับคุณ ทั้งนี้ คุณภาพของโรงแรมที่พักในแต่ละพื้นที่ของไอซ์แลนด์อาจมีความแตกต่างกัน และเนื่องจากจำนวนที่พักมีอยู่อย่างจำกัดมาก หากที่พักพันธมิตรที่เราแนะนำถูกจองเต็มหมดแล้วในวันที่คุณต้องการ เราจะจัดหาที่พักอื่นที่อยู่ในระดับเดียวกันให้กับคุณตามความเหมาะสม
ที่พักระดับควอลิตี้นั้นไม่ได้มีให้บริการในทุกพื้นที่ หากไม่มีที่พักระดับควอลิตี้ในพื้นที่ที่คุณต้องการ เราจะจัดหาที่พักระดับคอมฟอร์ทให้แทน โดยจะเลือกอัปเกรดห้องให้มีราคาสอดคล้องกับที่พักระดับควอลิตี้ เราจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อหาที่พักให้ตรงกับความต้องการพิเศษที่คุณมี ซึ่งบางครั้งอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม กรุณาระบุวันที่ที่คุณต้องการเดินทางเพื่อตรวจสอบจำนวนที่ว่าง
ห้องพักพร้อมห้องน้ำรวมในฟาร์มเฮ้าส์ เกสต์เฮ้าส์ หรือโฮสเทล อยู่ในทำเลดีใกล้สถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุด ไม่รวมอาหารเช้า
ห้องพักพร้อมห้องน้ำส่วนตัวในโรงแรมระดับ 3 ดาว หรือเกสต์เฮาส์คุณภาพ ทำเลใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุด รวมอาหารเช้า
ห้องพักพร้อมห้องน้ำส่วนตัวในโรงแรมระดับ 4 ดาว หรือห้องซูพีเรียร์ในโรงแรมระดับ 3 ดาวที่มีคุณภาพ ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดในไอซ์แลนด์ รวมอาหารเช้า
รถยนต์
ด้านล่างนี้คือตัวเลือกการเช่ารถสำหรับทัวร์ขับรถเที่ยวเอง รถทุกคันของเราเป็นรถรุ่นใหม่หรือรุ่นปัจจุบัน โดยมีอายุไม่เกิน 2 ปี รถระดับซูเปอร์บัดเจทจะมาพร้อมกับประกันที่มีค่าเสียหายส่วนแรก (CDW) ซึ่งเป็นประกันมาตรฐาน ในขณะที่ระดับอื่นๆ ทั้งหมดจะรวมประกันกรวด (GP) และประกันประเภทไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก (SCDW)
ข้อควรรู้: การขับรถออกนอกเขตถนนถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายสำหรับรถยนต์ทุกประเภท รถทุกระดับมี GPS และ Wi-Fi ให้ฟรี คุณสามารถเพลิดเพลินกับการใช้อินเทอร์เน็ตได้ไม่จำกัดด้วยอุปกรณ์ Wi-Fi ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้สูงสุด 10 เครื่องพร้อมกัน ผู้ให้บริการรถเช่ามีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนถนนตลอด 24 ชั่วโมง ข้อกำหนดด้านอายุของผู้ขับขี่สำหรับแต่ละระดับสามารถดูได้ที่ด้านล่าง แต่ไม่ว่ารถระดับใด ผู้ขับขี่จะต้องมีใบอนุญาตขับขี่ที่ถูกต้องอย่างน้อยหนึ่งปีก่อนวันที่เช่า เราขอแนะนำให้เลือกใช้รถระดับบัดเจทแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สำหรับการขับขี่ในฤดูร้อน และระดับคอมฟอร์ทแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สำหรับการขับขี่ในฤดูหนาว
รถขนาดเล็กขับเคลื่อนสองล้อ เช่น Toyota Aygo หรือรุ่นใกล้เคียง เหมาะสำหรับการเดินทางประจำวันทั่วไป มีขนาดกะทัดรัดและสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารไม่เกิน 2 คน พร้อมกระเป๋าสัมภาระไม่มาก ไม่สามารถขับขี่ในไฮแลนด์ได้ ผู้ขับขี่ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
รถขนาดมาตรฐานขับเคลื่อน 2 ล้อ เช่น Toyota Yaris หรือรุ่นใกล้เคียง เหมาะสำหรับการเดินทางประจำวันทั่วไป มีความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสาร 3 คน พร้อมกระเป๋าสัมภาระไม่มาก ไม่สามารถขับขี่ในไฮแลนด์ได้ ผู้ขับขี่ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
รถจี๊ปหรือเอสยูวีขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดมาตรฐาน เช่น Dacia Duster หรือรุ่นใกล้เคียง มีความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารไม่เกิน 3 คน พร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 2 ใบ เหมาะสำหรับการเดินทางเกือบทุกแบบ รวมถึงการขับขี่บนหิมะและถนนลาดยาง สามารถขับขี่แบบพื้นฐานในไฮแลนด์ได้ ผู้ขับขี่ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
รถจี๊ปหรือเอสยูวีขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดกลาง เช่น Toyota Rav4 (เกียร์อัตโนมัติ) Suzuki Vitara (เกียร์ธรรมดา) หรือรุ่นใกล้เคียง มีความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารไม่เกิน 4 คน พร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 3 ใบ เหมาะสำหรับการเดินทางเกือบทุกแบบ รวมถึงการขับขี่บนหิมะและถนนลาดยาง สามารถขับขี่แบบพื้นฐานในไฮแลนด์ได้ ผู้ขับขี่ต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป
รถจี๊ปขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดใหญ่ เช่น Toyota Land Cruiser หรือรุ่นใกล้เคียง มีความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารไม่เกิน 4 คน พร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 4 ใบ เหมาะสำหรับการเดินทางเกือบทุกแบบ สามารถขับขี่ในไฮแลนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ขับขี่ต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป
รถตู้ขนาดใหญ่ 9 ที่นั่ง เช่น Mercedes Benz Vito หรือรุ่นใกล้เคียง (ขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์ธรรมดา สามารถขับขี่ในไฮแลนด์ได้) รองรับผู้โดยสารได้ 5-7 คน นั่งสบายและเหมาะสำหรับการขับขี่ในฤดูหนาว หากจำนวนผู้โดยสารเต็มทุกที่นั่งจะมีพื้นที่เก็บสัมภาระลดน้อยลง ผู้ขับขี่ต้องมีอายุ 23 ปีขึ้นไป