
สถานที่โดดเด่นที่สุดของเมืองเรคยาวิก (Reykjavik) คืออะไร เราจะสามารถชม ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมที่ดีที่สุดของเมืองนี้ได้ที่ไหน สามารถอ่านข้อมูลที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวทั้งในและรอบๆ เมืองหลวงที่มีชีวิตชีวาของประเทศไอซ์แลนด์ได้จากที่นี่
ประเทศไอซ์แลนด์เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางเนื่องจากความเป็นธรรมชาติของประเทศนี้ เช่น แสงเหนือ ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ น้ำตกที่น่าตื่นตา พื้นที่ไฮแลนด์ที่งดงามและแน่นอนการปะทุของภูเขาไฟจำนวนมาก เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวเรคยาวิก พวกเขาจึงมีอะไรให้ทำโดยไม่ต้องคิดมาก
ทำไมคุณถึงวางใจในเนื้อหาของเราได้
Guide to Iceland คือแพลตฟอร์มท่องเที่ยวที่น่าเชื่อถือที่สุดในไอซ์แลนด์ ในแต่ละปี เราช่วยเหลือนักท่องเที่ยวหลายล้านคน เนื้อหาทั้งหมดของเราเขียนและตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นที่รู้จักไอซ์แลนด์อย่างลึกซึ้ง คุณจึงมั่นใจได้ว่าคำแนะนำด้านการท่องเที่ยวของเรามีความถูกต้อง ทันสมัย และเชื่อถือได้
อย่างไรก็ตาม เมืองหลวงแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์และสถานที่น่าสนใจหลากหลายรูปแบบที่เหมาะกับผู้มาเยือนทุกสไตล์ เราแนะนำให้จองวอล์กกิ้งทัวร์ในเรคยาวิกซึ่งมีไกด์ผู้เชี่ยวชาญพาเดินชมเมืองเพื่อเรียนรู้มุมมองแบบคนท้องถิ่นและทำความรู้จักเมืองแสนน่ารักแห่งนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จะต้องรู้สึกประทับใจกับตึกเก่าแก่ของเมืองนี้ รวมถึงเรื่องราวของชาวไวกิ้งและอดีตในช่วงยุคกลาง ส่วนผู้ที่สนใจด้านวัฒนธรรมควรไปชมสถานที่ต่างๆ อาทิ คอนเสิร์ตฮอลล์ฮาร์ปา และโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์กยา
ผู้ที่หลงใหลในงานศิลปะจะได้พบกับประติมากรรม รูปปั้น และสตรีทอาร์ตอันโดดเด่นมากมายทั่วเรคยาวิก ส่วนคนรักธรรมชาติจะได้ชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามหลากหลายแบบได้โดยไม่ต้องออกจากตัวเมืองเลย
ที่นี่ไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับทัวร์ชมสถานที่ภายในหนึ่งวันหรือหลายวันเท่านั้น เพราะเมืองนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่เกิดจากการผสมผสานของความต่างหลากหลายอย่างลงตัว
บ้านเก่าแก่ที่มีหลังคาดีบุกสีสันสดใสถูกล้อมรอบด้วยอาคารโมเดิร์นที่หรูหรา ถนนสายแคบบนเนินเต็มไปด้วยตึกที่ถูกคั่นด้วยพื้นที่สีเขียวกว้างขวาง ขณะเดียวกับมุมเงียบสงบสำหรับพักผ่อนหย่อนใจก็อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองที่เต็มไปด้วยความเจริญ
เมืองหลวงแห่งนี้ให้ความรู้สึกทั้งอบอุ่นแบบชุมชนเล็กๆ และมีความทันสมัยแบบเมืองที่เจริญก้าวหน้า นอกจากเป็นพื้นที่ที่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติแล้ว ที่นี่ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยความหลากหลายของแกลเลอรี พิพิธภัณฑ์ ร้านขายเสื้อผ้าและบาร์ รวมไปถึงการแสดงสดและเทศกาลประจำเมือง เรคยาวิกเป็นหนึ่งในเมืองหลวงทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดเมืองหนึ่งของโลก
-
ดูเพิ่มเติม: ประวัติศาสตร์ของเมืองเรคยาวิก
วิธีเที่ยวชมเมืองเรคยาวิก
มีหลายวิธีในการเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ในเรคยาวิก และตัวเลือกก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามจำนวนผู้มาเยือนที่เพิ่มมากขึ้น ไอซ์แลนด์ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 2 ล้านคนในปี 2024 และคาดว่าปี 2025 จะทำสถิติใหม่อีกครั้ง

วอล์กกิ้งทัวร์แบบมีไกด์พาเดินชมเมืองให้บริการตลอดทั้งปี โดยจะพาเดินชมสถานที่โดดเด่นตามที่กำหนดไว้ ทัวร์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่มีค่าใช้จ่าย แต่หากคุณต้องการบริการแบบส่วนตัวสามารถเลือกจ่ายเงินเพื่อซื้อทัวร์แบบไพรเวทและผสมผสานกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น การชิมเบียร์ได้
นอกจากนี้ยังมีบริการรถบัสแบบฮอปออนฮอปออฟ ที่ช่วยให้คุณเข้าถึงสถานที่ต่างๆ ได้มากขึ้นในระยะเวลาที่นานขึ้น รวมทั้งทัวร์รถมินิบัสแบบมีไกด์นำเที่ยวหรือทัวร์สำหรับผู้ที่ขับรถเที่ยวเอง และมีทัวร์ขี่จักรยานสำหรับผู้ที่ชอบการออกกำลังกายด้วย
แต่หากตัวเลือกเหล่านี้ยังไม่ถูกใจคุณมากพอ ลองดูทัวร์แบบนั่งเครื่องบินที่จะนำคุณไปชมมุมมองที่น่าสนใจของอาคารที่โดดเด่นที่สุดของเมืองและภูมิทัศน์โดยรอบ
การเดินทางที่น่าตื่นเต้นเหล่านี้จะมีทั้งนั่งเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบิน และยังสะดวกสบายบายมาก โดยจะออกเดินทางจากสนามบินในประเทศเรคยาวิก ทัวร์มีบริการตลอดทั้งปีหากสภาพอากาศเอื้ออำนวยตัวเลือกสุดท้ายจะเป็นการชมเมืองแบบง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง เลือกให้เหมาะกับความสนใจและรสนิยมของคุณ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศิลปะหรือธรรมชาติ
สถานที่ประวัติศาสตร์ของเมืองเรคยาวิก
จากหนังสือเกี่ยวกับการตั้งถิ่งฐาน (Book of Settlements) เมืองเรคยาวิกมีคนอยู่อาศัยตั้งแต่ปีคริสตศักราชที่ 874 สถานที่ต่างๆ จึงยิ่งมีสีสันด้วยเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจ เรคยาวิกเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย ซึ่งจะดึงดูดใจผู้หลงใหลในเรื่องราวในอดีตได้อย่างแน่นอน ตั้งแต่บ้านพักที่เป็นจุดเริ่มต้นของการยุติสงครามเย็น ไปจนถึงหนึ่งในรัฐสภาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และซากปรักหักพังของชาวไวกิ้งจากศตวรรษที่ 10 เรคยาวิกมีขุมทรัพย์ทางประวัติศาสตร์รอให้คุณไปค้นหาอยู่ไม่รู้จบ
บ้านเฮิฟดิ

บ้านเฮิฟดิ (Hofdi House) เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญระดับนานาชาติในไอซ์แลนด์ ที่นี่เดิมทีเป็นสถานกงสุลฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1986 บ้านหลังนี้มีบทบาทที่ยิ่งใหญ่เกินกว่ารูปลักษณ์ที่ดูเรียบง่าย เนื่องจากถูกใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดเรคยาวิก ซึ่งประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน แห่งสหรัฐฯ และเลขาธิการมิคาอิล กอร์บาชอฟ แห่งสหภาพโซเวียต ได้พบปะกันเพื่อหารือเกี่ยวกับการห้ามขีปนาวุธระหว่างประเทศในช่วงสงครามเย็น
แม้ว่าการเจรจาในครั้งนั้นจะยุติลงโดยไม่มีข้อตกลงร่วมกันในทันที แต่ก็ได้แสดงให้ทั้งสองฝ่ายเห็นถึงการประนีประนอมที่อีกฝ่ายเต็มใจจะยอมรับ ดังนั้น การประชุมสุดยอด ณ บ้านเฮิฟดิจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการนำไปสู่สนธิสัญญาว่าด้วยอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางในปี ค.ศ. 1987 และหลายคนยังถือว่าการพบกันครั้งนั้นคือจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดยุคสงครามเย็นอย่างแท้จริง
อัลธิงกิและโบสถ์
ภาพจาก Wikimedia, Creative Commons, by Zinneke ไม่มีการแก้ไข
ในย่านใจกลางเมือง คุณจะพบกับรัฐสภาไอซ์แลนด์ หรืออัลธิงกิ (Althingi) และ อาสนวิหารเรคยาวิก (Reykjavik’s Cathedral) ตั้งอยู่เคียงข้างกัน รัฐสภาถูกย้ายมายังที่นี่ในปี ค.ศ. 1849 เพื่อรวบอำนาจการปกครองของไอซ์แลนด์เข้าสู่ศูนย์กลางในเรคยาวิก หลังจากที่เคยตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติธิงเวลลิร์มานานกว่าเจ็ดศตวรรษ
ปัจจุบัน อัลธิงกิเป็นหนึ่งในรัฐสภาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังคงดำเนินงานอยู่
ภาพจาก Wikimedia, Creative Commons, by JuTa ไม่มีการแก้ไข
อาสนวิหารเรคยาวิกอาจจะถูกมองข้าม เพราะหลายคนมักจะนึกถึงเพียงโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์กยาที่เป็นโบสถ์ที่โดดเด่นที่สุดของเมือง อย่างไรก็ตามโบสถ์ที่มีรูปร่างแปลกตาแห่งนี้ถือเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองเรคยาวิก ซึ่งสถาปนาขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1796 และรูปแบบสถาปัตยกรรมสไตล์ลูเธอรันที่เรียบง่ายของโบสถ์แห่งนี้ ได้บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางศาสนาของประเทศไอซ์แลนด์ได้เป็นอย่างดี
สำนักนายกรัฐมนตรีและเมนน์ตาสโคลินน์ อี เรคยาวิก

ภาถจาก Wikimedia, Creative Commons, by Guðmundur D. Haraldsson ไม่มีการแก้ไข
สตยอร์นาร์ราดส์ฮูซิด (Stjórnarráðshúsið) ตั้งอยู่บนจัตุรัสแลกยาร์ทอร์ก ซึ่งติดกับย่านใจกลางเมือง เป็นสำนักนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 อาคารนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอย่างโดดเด่น โดยไม่มีรั้วหรือการรักษาความปลอดภัยที่มองเห็นได้ชัดเจน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศที่ปลอดภัยและสงบสุขของไอซ์แลนด์ได้เป็นอย่างดี หรือในทางกลับกัน เมื่อใดก็ตามที่อาคารถูกปกคลุมไปด้วยกระดาษชำระและกราฟฟิตี้ นั่นก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าประชาชนไม่พอใจกับรัฐบาลชุดปัจจุบันนั่นเอง

ภาพจาก Wikimedia, Creative Commons, by Herbert G. ไม่มีการแก้ไข
สำนักนายกฯ ตั้งอยู่บนถนนเดียวกับโรงเรียนที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ ที่ชื่อว่าเมนตาสโคลินน์ อี เรคยาวิก (Menntaskólinn í Reykjavík) โรงเรียนก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1056 ที่เขตสังฆมณฑลของสคาลโฮลท์ (Skalholt) ก่อนจะย้ายมายังเรคยาวิกในปี ค.ศ. 1786 และได้ตั้งถาวร ณ ที่ตั้งปัจจุบันในปี ค.ศ. 1846
เศษซากจากบ้านลองเฮาส์
แม้ว่ารายการนี้จะหลีกเลี่ยงการรวมพิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ นิทรรศการการตั้งถิ่นฐานแห่งเรคยาวิก (Settlement Exhibition) ต้องถือเป็นข้อยกเว้น เพราะเป็นสถานที่ที่ผู้หลงใหลในประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาด ภายในนิทรรศการ คุณสามารถชมโบราณวัตถุจากการตั้งถิ่นฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่พบในพื้นที่เรคยาวิก โดยมีบางชิ้นย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 9
นอกจากนี้ยังมีห้องโถงและชิ้นส่วนกำแพงจากบ้านทรงยาว (longhouse) สมัยศตวรรษที่ 10 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่คือ 2,900 โครนาไอซ์แลนด์ (ประมาณ 21 USD) และเข้าฟรีสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยปกติจะเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 10.00 น. ถึง 17.00 น. เมื่อเข้าชมที่นี่ คุณสามารถใช้ทางเดินใต้ดินที่เชื่อมต่อไปยังนิทรรศการใหม่กว่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองซึ่งอยู่ที่ Adalstraeti 10 นิทรรศการแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนอาดัลสตราเอติ (Adalstraeti) ซึ่งเป็นถนนสายที่เก่าแก่ที่สุดในเรคยาวิก และมีอาคารบางส่วนที่สร้างขึ้นตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18
-
ดูข้อมูลเกี่ยวกับ 9 พิพิธภัณฑ์ยอดฮิตในเมืองเรคยาวิก
ถนนเลยกาแวกูร์
เลยกาแวกูร์ (Laugavegur)เป็นถนนสายช้อปปิ้งสายหลักที่มีชื่อเสียงในเรื่องของเสื้อผ้า ร้านอาหาร และบาร์ ทั้งยังเป็นหนึ่งในถนนที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองอีกด้วย ชื่อของถนนสายนี้มีความหมายว่า "ถนนซักผ้า" เนื่องจากในอดีตถนนสายนี้เคยเป็นทางไปสู่บ่อน้ำพุร้อนในเลยการ์ดาลูร์ ซึ่งผู้คนในสมัยก่อนใช้เป็นที่ซักเสื้อผ้า
ถนนสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1885 และยังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์หลายแห่งตั้งอยู่ตามแนวถนน เช่น ร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเรคยาวิกอย่าง Prikið ซึ่งก่อตั้งในปี ค.ศ. 1951 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการปรับปรุงถนนให้เป็นมิตรต่อคนเดินเท้ามากขึ้น โดยมีการเชื่อมต่อถนนเลยกาแวกูร์เข้ากับถนนออสตูร์สตราเอติ (Austurstraeti Street) ทำให้เกิดทางยาวที่ปลอดรถยนต์ ซึ่งมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษในช่วงฤดูร้อน
-
ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 9 ชาวไอซ์แลนด์ผู้โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์
สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในเมืองเรคยาวิก
ในช่วงศตวรรษที่ 20 และ 21 วัฒนธรรมของเรคยาวิกได้เบ่งบานอย่างยิ่ง ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เมืองนี้ค่อนข้างขาดแคลนสถานที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นอาคารสวยงามหรือสถานที่ที่ผู้คนสามารถเพลิดเพลินกับงานศิลปะและเข้าสังคม
อย่างไรก็ตาม ด้วยการพัฒนาหลังสงครามและการมุ่งเน้นด้านการท่องเที่ยวในเวลาต่อมา ทำให้เรคยาวิกเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเก้าเมืองหลวงทางวัฒนธรรมแห่งยุโรปประจำปี ค.ศ. 2000
โบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์กยา

โบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์กยา (Hallgrímskirkja) ถือได้ว่าเป็นอาคารที่โดดเด่นที่สุดในเมืองเรคยาวิก ด้วยความสูง 74.5 เมตรทำให้ที่นี่ถือเป็นโครงสร้างที่สูงที่สุดในประเทศ และตำแหน่งที่ตั้งอยู่บนเนินเขาก็ยิ่งเพิ่มความยิ่งใหญ่ให้กับขนาดของมัน โบสถ์นิกายลูเธอรันแห่งนี้ได้รับการสถาปนาขึ้นในปี 1986 หลังจากการก่อสร้างถึง 41 ปีและได้ถูกตั้งชื่อตามกวีและนักบวชชาวไอซ์แลนด์ชื่อว่า Hallgrímur Pétursson
ความงามของโบสถ์แห่งนี้ส่วนใหญ่มาจากแรงบันดาลใจในสุนทรียศาสตร์ของมัน ซึ่งเป็นแบบฉบับของไอซ์แลนด์ โดยได้รับอิทธิพลหลักสามประการ ได้แก่ ความเรียบง่ายของการออกแบบแบบโปรเตสแตนต์ รูปทรงของเสาหินบะซอลต์หกเหลี่ยม ที่สามารถพบได้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่น้ำตกสวาร์ติฟอสส์ และรูปทรงของค้อนของธอร์ เทพเจ้าสายฟ้าในตำนานนอร์สโบราณ

การเข้าชมภายในโบสถ์สามารถเข้าได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ห้องโถงขนาดใหญ่ ออร์แกนขนาดมหึมา และงานศิลปะที่สวยงาม ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่งดงามยิ่งนัก นอกจากนี้ คุณยังสามารถขึ้นไปบนหอคอยเพื่อชมทิวทัศน์แบบพาโนรามาได้ด้วย
ราคาตั๋วปัจจุบันสำหรับการขึ้นหอคอย: ผู้ใหญ่ 1,400 โครนาไอซ์แลนด์ (10 USD) เด็กอายุ 7-16 ปี 200 โครนาไอซ์แลนด์ (1.5 USD) มีส่วนลดสำหรับผู้สูงอายุ นักเรียน และผู้พิการ เวลาเปิด-ปิดจะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล และหอคอยจะปิดในช่วงที่มีพิธีทางศาสนา
คอนเสิร์ตฮอลล์ฮาร์ปา
นับตั้งแต่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2011 ฮาร์ปา (Harpa) ก็เป็นคู่แข่งกับโบสถ์ฮัลล์กริมสคิร์กยาในการเป็นอาคารที่โดดเด่นที่สุดของเมืองหลวง ฮาร์ปาคือความสำเร็จทางสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ด้วยฟาซาดกระจกที่เปล่งประกาย ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงเรขาคณิตคล้ายก้อนอิฐที่ได้แรงบันดาลใจจากหินบะซอลต์ ทำให้เกิดภาพสะท้อนของทะเลและท้องฟ้าที่สวยงามสลับลายแบบคาไลโดสโคป
ภายในอาคารมีระบบเสียงระดับโลก เป็นที่ตั้งของวงออร์เคสตราซิมโฟนีแห่งไอซ์แลนด์ และเป็นสถานที่จัดกิจกรรมตลอดทั้งปี ตั้งแต่คอนเสิร์ตคลาสสิกไปจนถึงการแสดงตลก
เทศกาลที่น่าสนใจประจำปี ได้แก่ เทศกาล Iceland Airwaves ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เทศกาล Dark Music Days ในเดือนมกราคม และเทศกาล Reykjavik Jazz Festival ในเดือนสิงหาคมของทุกปี
-
ดูข้อมูลเกี่ยวกับ 10 เทศกาลยอดนิยมในไอซ์แลนด์
โรงละครแห่งชาติ

โรงละครแห่งชาติไอซ์แลนด์ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1950 และมีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นสถาปัตยกรรมที่แปลกตาและการแสดงที่น่าตื่นเต้น แม้ว่าการแสดงส่วนใหญ่จะเป็นภาษาไอซ์แลนด์ แต่โรงละครแห่งนี้ก็มีการแสดงเป็นภาษาอังกฤษ ทั้งบทละครเก่าและใหม่ รวมถึงการแสดงหุ่นกระบอกและการแสดงสำหรับเด็กด้วย การแสดงหลายชุดที่เปิดตัวที่นี่ได้รับรางวัลระดับชาติและระดับนานาชาติ และได้ออกเดินทางไปทัวร์แสดงทั่วโลก
-
ดูข้อมูลเกี่ยวกับ 10 กิจกรรมยอดฮิตในเมืองเรคยาวิก
สถานที่ท่องเที่ยวทางศิลปะของเมืองเรคยาวิก
สถานที่ท่องเที่ยวของเรคยาวิกยังรวมถึงผลงานศิลปะสาธารณะด้วย ซึ่งมีตั้งแต่รูปปั้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ไปจนถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังบนผนังอาคาร เรคยาวิกคือเมืองแห่งงานฝีมือทางศิลปะที่แสดงความเคารพต่อทักษะและความมานะอุตสาหะของผู้คน ศิลปะเหล่านี้จะทำให้ผู้ที่ชื่นชมพรสวรรค์ด้านนี้เคลิบเคลิ้มไปกับผลงานที่จัดแสดง เมื่อเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ทั่วเมืองหลวงแห่งนี้
ซันโวยาจเจอร์
ประติมากรรมซันโวยาจเจอร์ (Sun Voyager) ตั้งตระหง่านริมอ่าวฟาซาโฟลอิ หันหน้าออกจากเรคยาวิกไปยังภูเขาเอสยา สิ่งที่ผู้ออกแบบอย่าง Jón Gunnar ตั้งใจจะสื่อจึงปรากฏชัดทันทีเมื่อได้มอง มันคือสัญลักษณ์ของแรงดึงดูดแห่งการผจญภัย ความอยากรู้อยากเห็น การก้าวไปข้างหน้า และสะพานที่เชื่อมระหว่างโลกแห่งความฝันและการตื่นรู้ ผลงานชิ้นนี้ถูกขนานนามว่าเป็น “บทกวีแด่พระอาทิตย์” และนับเป็นประติมากรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของเรคยาวิก
ซันโวยาจเจอร์เริ่มต้นจากการเป็นผลงานที่ส่งเข้าประกวดในปี 1986 เพื่อสร้างชิ้นงานเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 200 ปีของเมือง และถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันเกิดของเมือง วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1990 น่าเสียดายที่ Gunnar เสียชีวิตก่อนจะได้เห็นพิธีเปิดอันยิ่งใหญ่ แต่ผลงานและข้อความที่เขามอบให้เมืองผ่านประติมากรรมชิ้นนี้ ได้ทำให้ชื่อของเขายังคงอยู่ในความทรงจำเสมอ
สวนประติมากรรมเอนาร์ ยอนส์สัน
เอนาร์ ยอนส์สัน (Einar Jónsson) เป็นหนึ่งในศิลปินที่มีความสามารถและโดดเด่นที่สุดของไอซ์แลนด์ เอนาร์เกิดในปี 1874 เขาใช้เวลาถึง 20 ปีในต่างประเทศเพื่อที่จะเรียนรู้เรื่องประติมากรรม รูปแบบศิลปะที่แทบจะไม่มีใครรู้จักในไอซ์แลนด์ในเวลานั้น เนื่องจากมีความคิดวิพากษ์วิจารณ์การลอกเลียนแบบศิลปินคนอื่น และมีความมุ่งมั่นที่จะบุกเบิกเส้นทางที่ไม่เหมือนใครในงานฝีมือนี้ เขาจึงสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในระดับนานาชาติจนกระทั่งรัฐสภาอัลธิงกิเชิญให้เดินทางกลับบ้านเพื่อทำงานรับใช้ชาติ โดยจัดเตรียมสตูดิโอและบ้านพักให้
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1954 เอนาร์ได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะอันน่าทึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ทำจากปูนปลาสเตอร์ และบางชิ้นอาจใช้เวลาสร้างนานถึงสิบปี ผลงานส่วนใหญ่ของเขาถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์และสวนประติมากรรมเอนาร์ ยอนส์สัน ซึ่งตั้งอยู่ข้างโบสถ์ฮัลล์กริมสคิร์กยา สวนแห่งนี้เปิดให้เข้าชมฟรี และการเดินชมที่นี่จะทำให้ผู้ที่มีความรู้หรือความหลงใหลในงานศิลปะที่น่าทึ่งรู้สึกราวต้องมนต์สะกด
คุณสามารถเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เอนาร์ ยอนส์สันได้ที่บริเวณเดียวกัน ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่คือ 1,500 โครนาไอซ์แลนด์ (ประมาณ $11 USD) และเข้าฟรีสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ประติมากรรมอื่นๆ
นับตั้งแต่สมัยเอนาร์ ยอนส์สัน ประติมากรรมได้กลายเป็นรูปแบบศิลปะที่พบเห็นได้ทั่วไปในประเทศไอซ์แลนด์ เขาได้สร้างผลงานที่โดดเด่นไปทั่วเมือง รวมถึงรูปปั้นที่ด้านนอกของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ รูปปั้นของพระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์กขณะมอบรัฐธรรมนูญฉบับแรกให้กับชาวไอซ์แลนด์ และและรูปปั้นของ Hannes Hafstein รัฐมนตรีคนแรกหลังจากไอซ์แลนด์ได้รับอำนาจปกครองตนเอง นอกจากนี้ เขายังปั้นรูปปั้นของผู้ก่อตั้งเรคยาวิก Ingólfur Arnarson ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาอาร์นาร์ฮอลล์ และมองเห็นวิวใจกลางเมือง
อย่างไรก็ตาม ยังมีศิลปินคนอื่นๆ อีกมากมายที่สร้างผลงานประติมากรรมบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่น ด้านหน้าโบสถ์ฮัลล์กริมสคิร์กยามีรูปปั้นของ Leif Eriksson ชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางไปถึงทวีปอเมริกา ซึ่งเป็นของขวัญที่สหรัฐอเมริกามอบให้ในปี ค.ศ. 1930 นอกจากนี้ ยังมีรูปปั้นกวี Tómas Guðmundsson นั่งอยู่บนม้านั่งกลางเมือง ซึ่งเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ Halla Gunnarsdóttir
นอกจากนี้ยังมีงานศิลปะอีกหลายชิ้นที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของวิถีชีวิตประจำวันแบบสมัยใหม่ เช่น ประติมากรรม "ลูกชาย" "เด็กสาว"และ "นักดนตรี" โดย Ólöf Pálsdóttir รวมถึงรูปปั้นของคนธรรมดาในอดีตด้วย ที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ "คนแบกน้ำ" โดย Ásmundur Sveinsson ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงที่กำลังขนน้ำขึ้นและลงเลยกาแวกูร์จากยุคที่เริ่มมีการเข้ามาตั้งถิ่นฐาน

ภาพจาก Wikimedia, Creative Commons, by Ray Swi-Hymn ไม่มีการแก้ไข
อย่างไรก็ตาม ประติมากรรมทั้งหมดไม่ได้เป็นเพียงการแสดงภาพบุคคลเท่านั้น บางชิ้นเป็นรูปแบบนามธรรม เช่น ผลงานที่บิดเบี้ยวของ Gerður Helgadóttir ที่มีชื่อเรียบง่ายว่า Sculpture (ประติมากรรม) บางชิ้นมีนัยยะทางการเมือง เช่น Monument to an Unknown Bureaucrat (อนุสาวรีย์ข้าราชการนิรนาม) ของ Magnús Tómasson หรือผลงาน Black Cone (กรวยสีดำ) Monument to Civil Disobedience (อนุสาวรีย์การต่อต้านของมวลชน) ในปี ค.ศ. 2012 โดย Santiago Sierra ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองพลังของประชาชนรากหญ้าที่สามารถทำลายการทุจริตได้ โดยการแสดงให้เห็นกรวยโลหะขนาดเล็กที่แยกหินก้อนใหญ่ให้แตกออกจากกัน
ศิลปะตามท้องถนนเมืองเรคยาวิก
หนึ่งในไฮไลต์ของการเที่ยวชมรอบเมืองเรคยาวิกคือสตรีทอาร์ตสีสันสดใสที่เติมชีวิตชีวาให้กับเมือง ผลงานเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรี ตำนานพื้นบ้านไอซ์แลนด์ และจินตนาการ จึงทำให้กำแพงหลายจุดถูกแต่งแต้มอย่างงดงาม
อย่างไรก็ตาม ฉากศิลปะบนท้องถนนยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ บางผลงานจากโปรเจกต์ WALL-POETRY ปี 2015 ยังคงอยู่ ขณะที่บางชิ้นถูกแทนที่เมื่ออาคารได้รับการปรับปรุงหรือพัฒนาใหม่ ปัจจุบัน เมืองได้รวบรวมแผนที่ที่มีผลงานสตรีทอาร์ตมากกว่า 160 ชิ้น และอัปเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
-
ข้อมูลเพิ่มเติม: กราฟฟิติและสตรีทอาร์ตในเรคยาวิก
อย่างไรก็ตาม ผลงานสตรีทอาร์ตที่อาจเป็นที่รู้จักและเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดคือผลงานที่ปรากฏรอบย่านท่าเรือเก่ามาตั้งแต่ปี 2013 ศิลปินชาวออสเตรเลีย Guido van Helten ได้วาดภาพที่ดูคล้ายภาพถ่ายเก่าแก่ลงบนกำแพงที่ผุพัง เปลี่ยนพื้นที่ทรุดโทรมที่สุดแห่งหนึ่งของเรคยาวิกให้กลายเป็นย่านศิลปะที่โดดเด่นและได้รับการยกย่องมากที่สุดของเมือง
-
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ แกลเลอรีศิลปะในเมืองเรคยาวิก
สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในเมืองเรคยาวิก
แม้จะเป็นเมืองหลวง แต่เรคยาวิกก็โอบล้อมด้วยธรรมชาติแบบไอซ์แลนด์อย่างเต็มเปี่ยม ในวันที่อากาศแจ่มใส คุณสามารถมองเห็นภูมิประเทศภูเขาไฟอันแห้งแล้งของคาบสมุทรเรคยาเนส ยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะของคาบสมุทรสไนเฟลล์สเนส และเงาสูงชันของภูเขาบลาฟยอลล์ หรือที่เรียกกันว่าเทือกเขาสีน้ำเงิน นอกจากนี้ เมืองยังมีสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวมากมายให้หลีกหนีจากความวุ่นวายในใจกลางเมืองได้อีกด้วย
ประภาคารกรอตตา
ประภาคารกรอตตาเป็นจุดท่องเที่ยวที่งดงามในเซลท์ยาร์นาร์เนส ซึ่งสามารถชมวิวเมือง มหาสมุทร และธรรมชาติโดยรอบได้อย่างน่าประทับใจ บรรยากาศเงียบสงบและโรแมนติก ทำให้ที่นี่เป็นจุดปิดท้ายการเที่ยวรอบเมืองที่ช่วยให้หลีกหนีความวุ่นวายของเมืองหลวงได้อย่างดี
พื้นที่นี้น่าไปเป็นพิเศษในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก รวมถึงค่ำคืนฤดูหนาวที่ท้องฟ้าเปิด เพราะมีโอกาสเห็นแสงเหนือมากขึ้น ที่นี่มีบ่อน้ำร้อนสำหรับแช่เท้าเล็กๆ ชื่อว่า ควิกา ให้คุณได้แช่เท้าผ่อนคลายด้วย การเดินบนสันทรายไปยังประภาคารทำได้เฉพาะช่วงน้ำลงเท่านั้น และเขตอนุรักษ์ธรรมชาติจะปิดไม่ให้เข้าระหว่างฤดูทำรังของนก ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมถึง 15 กรกฎาคม ดังนั้นควรวางแผนล่วงหน้าด้วย
เพอร์ลานและเอิสจูฮลิด

ภาพโดย Glaciers Photo
เช่นเดียวกับโบสถ์ฮัลล์กรีมสคิร์กยาและฮาร์ปา เพอร์ลาน (Perlan) หรือ "The Pearl" เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุดในเมืองเรคยาวิก อาคารทรงโดมแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินป่าเอิสจูฮลิด (Oskjuhlid) เดิมทีด้านบนเคยมีภัตตาคารหมุนด้วย
หากต้องการขึ้นไปยังดาดฟ้าชมวิว คุณจำเป็นต้องซื้อบัตรสำหรับเข้าชมนิทรรศการวันเดอร์ออฟไอซ์แลนด์ ซึ่งมีทั้งอุโมงค์น้ำแข็งจำลอง ประสบการณ์ภูเขาไฟ และภาพยนตร์แสงเหนือ Áróra ในโรงฉายแบบท้องฟ้าจำลอง วิวพาโนรามาที่มองเห็นทั้งป่า เมือง ชายฝั่ง และเทือกเขารอบด้านนั้นคุ้มค่ากับการขึ้นไปอย่างแน่นอน
ป่าของเอิสจูฮลิดเป็นสถานที่พักผ่อนที่ยอดเยี่ยมในตัวเมืองเรคยาวิก ต้นไม้หนาแน่นช่วยกลบเสียงความวุ่นวายในเมือง และมีเทรลเดินป่าหลายเส้นทางที่ให้เดินเล่นอย่างเพลินท่ามกลางธรรมชาติ
บางเส้นทางจะพาไปยังป้อมปืนสมัยสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งไม่เคยถูกใช้งานจริง ส่วนบางเส้นทางจะมุ่งไปยังวิหารของอาซาทรู ซึ่งเป็นศาสนาที่เคารพบูชาเทพนอร์สโบราณ ด้านล่างของพื้นที่ป่าคือชายหาดเนยโธลสวิกที่มนุษย์สร้างขึ้นเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งบางส่วนของหาดได้รับความร้อนจากพลังงานความร้อนใต้พิภพในช่วงฤดูร้อน และมีบริการห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า อ่างน้ำร้อน และห้องอบไอน้ำเปิดตามฤดูกาล
สวนสาธารณะเลยการ์ดาลูร์
ภาพจาก Wikimedia, creative commons, by Helgi Haldórsson ไม่มีการแก้ไข
สวนเลยการ์ดาลูร์ (Laugardalur) เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ภายในเมือง ที่เต็มไปด้วยสถานที่น่าสนใจสำหรับผู้มาเยือนเรคยาวิก หนึ่งในนั้นคือสวนพฤกษศาสตร์ ซึ่งมีไม้ดอกและพืชพันธุ์อาร์กติกหลากหลายชนิด เปิดให้เข้าชมตลอดปี แต่จะสวยที่สุดในช่วงฤดูร้อนเมื่อทุกอย่างผลิบาน นอกจากนี้ยังมีแฟมิลีพาร์คแอนด์ซู ที่เปิดตลอดปีและมีสัตว์ท้องถิ่นของไอซ์แลนด์ให้ชมมากมาย เช่น หมาจิ้งจอกอาร์กติกและกวางเรนเดียร์
ภายในสวนยังเป็นที่ตั้งของเลยการ์ดาลสเลยก์ สระว่ายน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเรคยาวิก ซึ่งมีสไลเดอร์ บ่อน้ำร้อน ซาวน่า ห้องอบไอน้ำ และพื้นที่ว่ายน้ำกว้างขวางครบครัน การมาเยือนสวนเลยการ์ดาลูร์ทำให้คุณได้สัมผัสทั้งพืชพรรณ สัตว์ และพลังงานความร้อนใต้พิภพของไอซ์แลนด์โดยไม่ต้องออกนอกเมืองเลย
เกาะวิเดย์

จุดท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายนี้จะต้องนั่งเรือไปเท่านั้น แต่เป็นประสบการณ์ที่งดงามสำหรับผู้ที่มองหาความเงียบสงบของธรรมชาติ พร้อมทั้งเรื่องราวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เรือไปยังเกาะวิเดย์ (Videy) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งเรคยาวิก ออกเดินทางทุกวันในฤดูร้อน และเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ในฤดูหนาว ตั๋วไป–กลับมีจำหน่ายที่สการ์วาบักกี (Skarfabakki) ตลอดปี โดยจะมีเที่ยวเรือเพิ่มเติมจากท่าเรือเก่าในช่วงฤดูร้อนที่มีนักท่องเที่ยวมาก
เกาะแห่งนี้ไม่มีผู้อยู่อาศัยแล้ว แต่ยังมีสิ่งให้ชมมากมาย ซากร่องรอยของชุมชนเก่าแก่กระจายอยู่ทั่วเกาะ ซึ่งเปิดให้เดินชมตามอัธยาศัย และอาคารที่ยังคงอยู่ก็ล้วนมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โบสถ์บนเกาะเป็นหนึ่งในโบสถ์หินที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ ส่วนบ้านวิเดย์เฮาส์ที่สร้างในปี 1755 ถือเป็นบ้านพักอาศัยสร้างจากหินที่เก่าแก่ที่สุดของไอซ์แลนด์
นอกจากนี้ เกาะวิเดย์ยังเป็นที่ตั้งของงานศิลปะสำคัญสองชิ้น ได้แก่ Milestone Project ของ Richard Serra ซึ่งตั้งอยู่ตั้งแต่ปี 1990 และที่โด่งดังยิ่งกว่า คือ Imagine Peace Tower (อิเมจินพีซทาวเวอร์) ของ Yoko Ono ที่ส่องลำแสงขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืนในช่วงเวลาพิเศษของปี
-
อ่านข้อมูลเกี่ยวกับอิเมจินพีซทาวเวอร์ได้ในบล็อกของ Regina
เรคยาวิกได้กลายเป็นเมืองที่ทันสมัย มีชีวิตชีวา และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อัดแน่นด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศิลปะ และธรรมชาติ ทำให้สถานที่ต่างๆ ของเมืองสามารถดึงดูดผู้คนที่มีความสนใจหลากหลายได้เป็นอย่างดี และเมื่อมีผู้มาเยือนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมืองก็ยังคงพัฒนา เติบโต และรุ่งเรืองต่อไป
-
อ่านเรื่องนี้ด้วย: 10 กิจกรรมยอดนิยมในเมืองเรคยาวิก









