คู่มือท่องเที่ยวบนเส้นทางวงกลมทองคำของประเทศไอซ์แลนด์
- ทำไมจึงต้องเที่ยววงกลมทองคำ
- วงกลมทองคำในไอซ์แลนด์คืออะไร
- อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์
- พื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพไกเซอร์
- น้ำตกกุลล์ฟอสส์
- ช่วงเวลาไหนที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยววงกลมทองคำมากที่สุด
- แผนที่ท่องเที่ยวบนเส้นทางวงกลมทองคำ
- วงกลมทองคำอยู่ห่างจากเรคยาวิกมากแค่ไหน
- พักที่ไหนดีหากต้องการอยู่ใกล้กับวงกลมทองคำ
- 5 อันดับแผนการเดินทางท่องเที่ยวและทัวร์วงกลมทองคำยอดนิยม
- วิธีที่ดีที่สุดในการเที่ยววงกลมทองคำ
- 9 จุดแวะเที่ยวนอกเส้นทางเมื่อคุณเดินทางท่องเที่ยวอยู่บนเส้นทางวงกลมทองคำ
- 9. สกัลโฮลท์
- 8. หุบเขาธยอร์ซาร์ดาลูร์
- 7. โซลเฮมาร์ อีโควิลเลจ
- 6. น้ำตกเฮลกูฟอสส์และโธรูฟอสส์
- 5. ฟริดเฮมาร์ ฟาร์มปลูกมะเขือเทศและเลี้ยงม้า
- 4. ขี่สโนว์โมบิลบนธารน้ำแข็งลางโจกุลล์
- 3. ซีเครทลากูนในฟลูดิร์
- 2. ปากปล่องภูเขาไฟเคริด
- 1. อ่างน้ำพลังงานความร้อนใต้พิภพฟอนทานา
ศึกษาทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับเส้นทางวงกลมทองคำของประเทศไอซ์แลนด์ ทำความรู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันน่าตื่นตาตื่นใจ เช่น ไกเซอร์น้ำพุร้อน น้ำตกเสียงดังกึกก้อง และรอยแยกระหว่างแผ่นเปลือกโลกสองแผ่น
วงกลมทองคำเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมของไอซ์แลนด์ และในการเดินทางท่องเที่ยวบนวงกลมทองคำคุณสามารถเลือกเพิ่มกิจกรรมและทริปท่องเที่ยวอื่นๆ เข้าไปได้มากมาย และคุณควรเข้าไปดูตัวเลือกทัวร์เที่ยววงกลมทองคำในไอซ์แลนด์ ซึ่งเราได้รวบรวมมาให้คุณเลือกมากที่สุดก่อนที่จะตัดสินใจวางแผนการเดินทาง
การขับรถจากเรคยาวิกไปยังวงกลมทองคำก็เป็นเรื่องง่ายเช่นเดียวกัน และในบทความนี้คุณยังสามารถค้นหารถเช่าที่ถูกที่สุดในไอซ์แลนด์ได้ด้วย ส่วนใหญ่แล้วแพ็คเกจทัวร์สำหรับขับรถเที่ยวเองในไอซ์แลนด์จะรวมเที่ยววงกลมทองคำด้วยอยู่แล้วเนื่องจากเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศ และคุณก็สามารถเลือกจองที่พักในไอซ์แลนด์ที่อยู่ใกล้กับเส้นทางวงกลมทองคำได้ด้วยเพื่อให้คุณไม่ต้องกังวลกับการเดินทางกลับเข้าไปในเรคยาวิกในระหว่างที่เที่ยวอยู่ตามชนบท
อ่านบทความนี้เพื่อศึกษาเส้นทางท่องเที่ยววงกลมทองคำที่ดีที่สุด จุดแวะเที่ยวระหว่างทาง ไฮไลต์สำคัญ และสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาด คุณยังสามารถเซฟแผนที่วงกลมทองคำและแผนการเดินทางที่นำเสนอในที่นี้เอาไว้ใช้กับแผนการท่องเที่ยวของคุณได้ด้วย
ทำไมจึงต้องเที่ยววงกลมทองคำ
การท่องเที่ยววงกลมทองคำนั้นเป็นเรื่องง่ายและทำให้ได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของไอซ์แลนด์ 3 แห่งภายในเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้นไม่ว่าคุณจะเดินทางไปกับกรุ๊ปทัวร์หรือเลือกขับรถเที่ยวด้วยตัวเอง จุดแวะเที่ยวแต่ละแห่งบนเส้นทางนี้ก็ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยาของไอซ์แลนด์ในแบบที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้คุณยังจะได้ภาพถ่ายสวยๆ มากมายติดตัวกลับไปด้วย
วงกลมทองคำในไอซ์แลนด์คืออะไร
วงกลมทองคำประกอบไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว 3 แห่งในทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งแต่ละแห่งมีความสวยงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
-
อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์ (Thingvellir National Park)
-
พื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพไกเซอร์ (The Geysir Geothermal Area)
-
น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss Waterfall)
หากจะพูดถึงความเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแล้ว มีเพียงเมืองเรคยาวิกและบลูลากูนเท่านั้นที่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับจุดหมายปลายทางทั้งสามแห่งนี้ และการที่วงกลมทองคำนั้นมีชื่อเสียงมากมายก็มีหลายเหตุผลด้วยกัน
และในบทความนี้เราจะขอกล่าวถึงสถานที่เที่ยวทั้งสามแห่งนี้
อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์
อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์เป็นสถานที่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในประเทศไอซ์แลนด์ เนื่องจากมีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยา
ที่นี่ถูกแต่งตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกในบรรดาอุทยานแห่งชาติทั้งหมดสามแห่งในไอซ์แลนด์ และยังเป็นเพียงสถานที่แห่งเดียวที่ได้รับเลือกให้เป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกด้วย
ด้วยระยะทางที่ห่างจากเรคยาวิกเพียง 47 กิโลเมตร อุทยานฯ ธิงเวลลีร์จึงเป็นจุดแวะเที่ยวแห่งแรกบนวงกลมทองคำ
บริเวณนี้มีความโดดเด่นในทางธรณีวิทยาและมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีด้วย ซึ่งผู้ที่มาเที่ยวชมธิงเวลลีร์จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นในการก่อตัวของเกาะแห่งนี้ ตลอดจนได้เรียนรู้ว่าผู้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไอซ์แลนด์ยุคแรกๆ นั้นสร้างสังคมที่ไร้ผู้นำขึ้นมาได้อย่างไร
ลักษณะทางธรณีวิทยาอันเป็นเอกลักษณ์ของอุทยานแห่งนี้มาจากตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ตรงกลางระหว่างแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือและแผ่นเปลือกยูเรเชียน ซึ่งทำให้เกิดเป็นหุบเขารอยแยกอยู่ในไอซ์แลนด์
ไอซ์แลนด์เป็นประเทศเดียวที่สามารถมองเห็นหุบเขาลักษณะนี้ ซึ่งเป็นแนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัว หรือสันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก (Mid-Atlantic Ridge) ที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเล และจุดที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากที่สุดอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์
จากเรคยาวิกเมื่อคุณขับรถมาถึงอุทยานฯ คุณจะเห็นหน้าผาสูงชันก่อน ซึ่งเป็นมุมหนึ่งของทวีปอเมริกาเหนือ ส่วนทวีปยูเรเชียนั้นจะอยู่ห่างไกลออกไปแค่อีกไม่กี่ไมล์ที่อีกฟากหนึ่งของอุทยานฯ ซึ่งเมื่อคุณเดินทางไปถึงแล้วก็จะพบว่าสวยงามไม่แพ้กัน
ช่องหินหนืด (Magma chambers) ซึ่งก่อตัวขึ้นตรงกลางระหว่างแผ่นเปลือกโลกสองแผ่นนี้มีการดันตัวออกจากกันและยกตัวขึ้น และช่องระบายความร้อนลักษณะเช่นนี้เองที่เคยมีส่วนในการสร้างไอซ์แลนด์เมื่อหลายล้านปีก่อน
การแยกตัวออกจากกันอย่างต่อเนื่องของแผ่นเปลือกโลกทั้งสองคือเหตุผลที่ทำให้ไอซ์แลนด์มีกิจกรรมของภูเขาไฟที่น่าทึ่งเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยเกาะแห่งนี้เป็นผืนดินที่ยังใหม่มากและยังอยู่ในช่วงก่อตัวด้วย และนี่เป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมแผ่นดินไอซ์แลนด์จึงรู้สึกเหมือนมีชีวิต
นักท่องเที่ยวสามารถพบเห็นหลักฐานของกระบวนการนี้ได้ทั่วธิงเวลลีร์ อันประกอบด้วยหินลาวาที่ทอดตัวเป็นแนวยาว และมีภูเขาไฟมากมายล้อมรอบพื้นที่อุทยานฯ ตั้งตระหง่านเหนือธิงวาลลาวาทน์ (Thingvallavatn) ทะเลสาบธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์
อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์ยังเต็มไปด้วยพืชพรรณที่เติบโตขึ้นมาตั้งแต่การปะทุครั้งล่าสุดเมื่อกว่า 2,000 ปีที่ผ่านมา
มอสส์ที่สวยงามและเปราะบางได้คืบคลานไปทั่วทุกภูมิประเทศของไอซ์แลนด์ รวมถึงทุ่งลาวาภายในอุทยานฯ ด้วย และพื้นที่อีกหลายส่วนนั้นเป็นป่าที่ปกคลุมไปด้วยต้นเบิร์ชพืชพื้นเมืองและต้นสนที่นำเข้ามาจากต่างแดน
แผ่นดินไหวยังคงเกิดขึ้นเป็นประจำในพื้นที่นี้ ซึ่งการเกิดแผ่นดินไหวก็ทำให้ระยะห่างระหว่างแผ่นเปลือกโลกทั้งสองกว้างขึ้นประมาณ 2.5 เซนติเมตรต่อปี
และหุบเหวที่เกิดจากแผ่นดินไหวเหล่านี้ มีน้ำจืดจากการละลายของธารน้ำแข็งลางโจกุลล์ (Langjokull) ไหลเข้าไปเติมเต็ม โดยน้ำเดินทางผ่านหินลาวาใต้ดินที่มีรูพรุนมาทางทะเลสาบธิงวาลลาวาทน์
กระบวนการกรองอันยาวนานนี้ ทำให้น้ำที่ผุดออกมาจากตาน้ำในรอยแยกเหล่านี้ปราศจากตะกอนและใสราวกับคริสตัล
เมื่อมองลงไปในน้ำจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะกว่า 100 เมตร ซึ่งทำให้การเดินชมรอบบริเวณนี้มีเสนห์มากยิ่งขึ้น และกลายเป็นสถานที่สำหรับดำน้ำลึกและดำน้ำตื้นที่มีมนต์ขลังด้วย
แม้ว่ากิจกรรมเหล่านี้อาจจะฟังดูไม่เข้ากับสภาพอากาศของไอซ์แลนด์เท่าไหร่ แต่เทคโนโลยีชุดดรายสูทสมัยใหม่ทำให้สามารถดำลงไปในน้ำที่มีอุณหภูมิ 2 องศาเซลเซียสได้สบายๆ แม้ในช่วงฤดูหนาว
ในแต่ละวันไกด์ที่มีใบรับรองจะพากรุ๊ปทัวร์ลงไปดำน้ำในรอยแยกซิลฟราอันสวยงามนี้วันละหลายรอบทีเดียวเนื่องจากกิจกรรมแอดเวนเจอร์นี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
ภาพจากทัวร์วงกลมทองคำและดำน้ำตื้นด้วยสน็อกเกิลที่ซิลฟราพร้อมภาพถ่ายที่ระลึกใต้น้ำ
เกือบทุกคนสามารถลงไปดำน้ำตื้นด้วยสน็อกเกิลในซิลฟราได้หากมีอายุตั้งแต่ 16 ปีและสามารถว่ายน้ำได้
ชุดดรายสูทที่ลอยน้ำได้สามารถทำหน้าที่เป็นเสื้อชูชีพไปในตัวและกระแสน้ำในซิลฟราก็แผ่วเบาจึงช่วยให้ผู้ทำกิจกรรมสามารถเคลื่อนตัวในน้ำได้ไม่ยาก
แต่การดำน้ำลึกนั้นผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะต้องมีใบรับรองการดำน้ำ PADI Open Water Scuba และต้องมีประสบการณ์ในการดำน้ำด้วยชุดดรายสูทมาแล้ว
โลกใต้น้ำที่นี่งดงามอย่างไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว และไกด์ดำน้ำที่ดูแลทัวร์ดำน้ำที่ซิลฟรา ซึ่งเป็นการดำน้ำระหว่างแผ่นเปลือกโลกก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก
ซิลฟราได้รับการโหวตให้เป็นหนึ่งในจุดดำน้ำยอดนิยมของโลกด้วย คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำน้ำลึกและดำน้ำตื้นในไอซ์แลนด์ได้ในบทความนี้
อย่างไรก็ตามพื้นที่นี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอันตรายเลย ดังนั้นผู้ที่จะลงไปดำน้ำลึกในน้ำที่เย็นแบบนี้จึงต้องมั่นใจในความสามารถของตัวเองในระดับหนึ่งและต้องมีคุณสมบัติครบด้วย แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงนั้นสามารถลงไปดำน้ำตื้นด้วยสน็อกเกิลในซิลฟราได้ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือความหนาวเย็น
แต่ถ้าหากคุณต้องการไปชมรอยแยกของแผ่นเปลือกโลกแบบไม่ต้องเปียกน้ำ คุณก็สามารถไปเดินเล่นที่ช่องเขาอัลมานนายา (Almannagja gorge) แทนได้ หุบเขามหัศจรรย์แห่งนี้จะทำให้คุณได้เห็นกระบวนการแยกตัวในทางธรณีวิทยาและยังเป็นเส้นทางไปสู่น้ำตกออกซาราฟอสส์ (Oxararfoss) ที่งดงามด้วย
ระหว่างที่อยู่บนเส้นทางเดินป่า แฟนซีรีส์แนวแฟนตาซีอย่างเกมออฟโธรนส์ซึ่งมาถ่ายทำที่ไอซ์แลนด์นั้นอาจจะรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง เพราะช่องเขาแห่งนี้คือเส้นทางขึ้นไปปราสาทเดอะเอียรี่ในฉากที่อาร์ยา สตาร์กและซานดอร์ คลีแกน หรือ "เดอะฮาวด์" ต้องเดินทางผ่านริเวอร์แลนด์
อย่างไรก็ตามทั้งตำแหน่งที่ตั้งและลักษณะทางธรณีวิทยาของธิงเวลลีร์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่สถานที่แห่งนี้ได้รับเลือกให้เป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกเลย
ที่ได้รับสถานะเป็นมรดกโลกมาเป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจต่างหาก เพราะถ้าศึกษาประวัติของธิงเวลลีร์ก็จะทำให้เข้าใจประวัติศาสตร์ของชาวไอซ์แลนด์ไปด้วย ผู้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานยุคแรกนั้นเดินทางเข้ามาในไอซ์แลนด์เมื่อช่วงปลายปีค.ศ. 800 โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนพเนจรที่ต่อต้านไม่ก้มหัวให้กับกษัตริย์ฮาราลด์ แฟร์แฮร์ ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของนอร์เวย์
ในปีค.ศ. 930 พวกเขาตัดสินใจตั้งหน่วยการปกครองแบบมีส่วนร่วมขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่างๆ บนเกาะ และคัดเลือกตัวแทนของแต่ละกลุ่มจากทั้งหมดประมาณ 30 กลุ่มเข้ามาเป็นผู้แทน
พวกเขายังได้กำหนดสถานที่นัดประชุมตัวแทนเหล่านี้ขึ้นมาโดยเรียกว่า "ทุ่งแห่งการรวมตัว" หรือธิงเวลลีร์ (Thingvellir) นั่นเอง
การประชุมครั้งแรกประสบความสำเร็จอย่างมากจนได้กลายเป็นประเพณีที่ดำเนินต่อไปทุกปีอย่างต่อเนื่องมายาวนานหลายศตวรรษจนในที่สุดก็มีการพัฒนามาเป็นรัฐสภา
ซึ่งสถาบันการปกครองนี้ก็ยังคงดำรงอยู่หลังจากที่นอร์เวย์เข้ายึดครองเครือจักรภพไอซ์แลนด์เมื่อปีค.ศ. 1262 และถ่ายโอนอำนาจการปกครองให้กับราชวงศ์ของเดนมาร์กในปีค.ศ. 1380 แต่หากจะนับตั้งแต่ที่ก่อตั้งขึ้นมาครั้งแรกเมื่อกว่าพันปีก่อนแล้ว การดำเนินงานของรัฐสภาแห่งนี้ชะงักไปเพียงช่วงเดียวคือตั้งแต่ปีค.ศ. 1799 ถึง 1844
และหลังจากนั้นก็ถูกย้ายสถานที่ตั้งไปอยู่ในเมืองเรคยาวิก แต่ยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิม
ภาพจาก Wikimedia, Creative Commons โดย Zenneke ไม่มีการแก้ไข
ประวัติศาสตร์ที่ว่ามานี้ทำให้อัลธิงกิ (Althingi) หรือรัฐสภาของไอซ์แลนด์เป็นสภาผู้แทนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังคงมีการดำเนินงานอยู่ในทุกวันนี้
ในขณะที่ประชากรในยุโรปต้องอดทนต่อระบบศักดินาโดยที่ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการประชาธิปไตยใดๆ เลย "คนนอกรีต" ของไอซ์แลนด์ได้สร้างระบบผู้แทนขึ้นมาและเป็นต้นแบบให้กับอีกหลายๆ ประเทศได้นำไปใช้
เหตุผลที่มาเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ไอซ์แลนด์ประกาศให้ธิงเวลลีร์เป็นอุทยานแห่งชาติในปีค.ศ. 1930 หรือ 1,000 ปีพอดิบพอดีหลังจากที่มีการรวมตัวกันที่นี่ครั้งแรก
ในที่สุดองค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ที่นี่เป็นแหล่งมรดกโลกในปีค.ศ. 2004 ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเรื่องความสวยงามแต่เป็นเพราะว่าเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของไอซ์แลนด์มายาวนานหลายศตวรรษ โดยธิงเวลลีร์ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมามากมายในระหว่างที่ประเทศไอซ์แลนด์พัฒนาเติบโตขึ้น
ตัวอย่างเช่นเมื่อครั้งที่ประเทศไอซ์แลนด์เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ในปีค.ศ. 1000 เนื่องจากเกรงกลัวการข่มขู่คุกคามของกษัตริย์โอลาฟที่ 1 ผู้เคร่งศาสนาของนอร์เวย์ นอกจากนี้ที่นี่ยังถูกใช้เป็นสถานที่พิจารณาคดีแม่มดหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงเหตุการณ์ดราม่าอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับนิยายซากาของไอซ์แลนด์ด้วย
แม้หลังจากที่รัฐสภาถูกย้ายไปยังเรคยาวิกแล้ว บริเวณนี้ก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับชาวไอซ์แลนด์เรื่อยมา โดยถูกใช้เป็นสถานที่จัดพิธีประกาศเอกราชของไอซ์แลนด์ในปีค.ศ. 1944 และใช้เป็นสถานที่ที่รัฐสภาประกาศแต่งตั้งให้สเวนน์ บยอร์นส์สันเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ
ประวัติศาสตร์ของธิงเวลลีร์บวกกับความสวยงามของสถานที่และเอกลักษณ์ทางธรณีวิทยาคือสาเหตุที่ทำให้อุทยานแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม ทั้งนี้ ธิงเวลลีร์เป็นเพียงหนึ่งในสามสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์ของเส้นทางวงกลมทองคำสุดคลาสสิกเท่านั้น
พื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพไกเซอร์
จุดแวะแห่งที่สองบนเส้นทางวงกลมทองคำคือพื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพไกเซอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาเฮยคาดาลูร์ (Haukadalur)
ที่นี่อยู่ห่างจากธิงเวลลีร์ 60 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นปล่องปล่อยไอน้ำและควันได้ตลอดทาง และจะหนาแน่นมากเป็นพิเศษแถวบริเวณหมู่บ้านเลยการ์วาทน์ (Laugarvatn) ซึ่งอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างธิงเวลลีร์และพื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพไกเซอร์
ชุมชนแห่งนี้มีสปาที่ใช้ความร้อนจากกระแสน้ำร้อนใต้ดินด้วย และมีห้องอบไอน้ำตั้งอยู่เหนือบ่อโคลนเดือดที่มีอุณหภูมิสูงถึง 60 องศาเซลเซียส
หุบเขาเฮยคาดาลูร์มีกิจกรรมความร้อนใต้พิภพที่รุนแรงมากขึ้นทุกวัน โดยนักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นไอน้ำพวยพุ่งได้ในระยะห่างหลายไมล์ รอบบริเวณนี้มีสระน้ำร้อน บ่อโคลน และไอก๊าซกระจายตัวให้เห็นอยู่ทั่วไป และมีแร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยแต้มสีสันที่สดใสให้กับเนินเขาและผิวดิน
แค่นี้ก็ทำให้พื้นที่นี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากพอแล้วแม้จะยังไม่ได้พูดถึงไกเซอร์หรือน้ำพุร้อนทั้งสองแห่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับบริเวณนี้ก็ตาม
หนึ่งในนั้นคือเดอะเกรทไกเซอร์ (The Great Geysir) น้ำพุร้อนต้นแบบที่ทำให้น้ำพุร้อนแห่งอื่นๆ ถูกเรียกว่าไกเซอร์
ไกเซอร์ต้นแบบนี้เป็นไกเซอร์ที่เก่าแก่ที่สุดตามวรรณคดีของยุโรป และได้ชื่อนี้มาจากคำกริยาที่แปลว่าปะทุหรือพุ่ง (to gush) ในภาษานอร์สโบราณ
น้ำพุร้อนไกเซอร์แห่งนี้ปัจจุบันแทบจะไม่มีการปะทุแล้ว แต่น้ำพุร้อนสโทรคูร์ (Strokkur) ที่อยู่ใกล้ๆ กันยังคงพ่นน้ำขึ้นฟ้าสูงราว 20-40 เมตรในทุกๆ สิบนาที
ไกเซอร์ต้นแบบดั้งเดิมนั้นสงบลงแล้วทั้งด้วยกิจกรรมการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในบริเวณนั้นเองและการแทรกแซงของมนุษย์ จากการศึกษาพบว่าไกเซอร์ต้นแบบนี้มีอายุประมาณ 10,000 ปีแล้วและมีแนวโน้มที่จะปะทุตามรอบวัฏจักร โดยมีแผ่นดินไหวเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการปะทุและหลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดกำลังลงเมื่อกาลเวลาผ่านไป
แต่อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถคาดเดาการปะทุที่จะเกิดขึ้นได้ ทั้งเวลาที่จะเกิดขึ้นและความต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นในช่วงต้นของทศวรรษ 1910 เคยมีการปะทุเกิดขึ้นในทุกๆ ครึ่งชั่วโมง แต่การปะทุก็แทบจะหยุดลงอย่างสิ้นเชิงในปี 1916
ชาวไอซ์แลนด์เองก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาของสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศเหมือนกันจึงมีการเจาะซิลิกาที่อยู่รอบๆ ช่องระบายน้ำของไกเซอร์ต้นแบบแห่งนี้ในปี 1935 เพื่อลดระดับน้ำใต้ดินลงและกระตุ้นให้เกิดการปะทุขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่าจะได้ผลแค่ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในที่สุดช่องระบายนี้ก็อุดตันและไกเซอร์ก็หยุดพ่นน้ำไปอีกครั้ง มีการจัดการกับช่องระบายอีกครั้งหนึ่งในปีค.ศ. 1981 และก็พบว่าไกเซอร์สามารถปะทุได้อีกเป็นครั้งคราวเมื่อมีการปั๊มอัดสบู่เข้าไป แต่ก็มีความกังวลมากมายเกี่ยวกับผลกระทบในด้านสิ่งแวดล้อมจึงหยุดการกระทำนี้ไปในปีค.ศ. 1990
จากนั้นมาไกเซอร์ก็หยุดนิ่งเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็พอจะมีการปะทุให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว และถือเป็นโชคดีมากหากมีโอกาสได้ไปเห็นกับตา เพราะเมื่อไกเซอร์ต้นฉบับนี้ปะทุล่ะก็มันจะเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่กว่าสโทรคูร์มากทีเดียว
ในปีค.ศ. 2000 ไกเซอร์เคยพ่นน้ำขึ้นฟ้าสูงถึง 122 เมตร และเป็นเพียงครั้งเดียวที่สร้างสถิติสูงกว่าการปะทุในปีค.ศ. 1845 ที่พ่นน้ำได้สูงประมาณ 170 เมตร
ความเสถียรของน้ำพุร้อนสโทรคูร์ที่ขยันพ่นน้ำนั้นมีส่วนทำให้วงกลมทองคำมีชื่อเสียง เพราะน้ำพุร้อนเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หาดูได้ยากและต้องมีเงื่อนไขจำเพาะจึงจะสามารถก่อตัวขึ้นมาได้
เงื่อนไขที่ทำให้เกิดไกเซอร์หรือน้ำพุร้อนมีดังนี้
-
มีแหล่งความร้อนสูง: การที่น้ำพุร้อนจะปะทุได้นั้น แมกมาต้องอยู่ใกล้กับพื้นผิวโลก หินเหล่านั้นจึงจะร้อนพอที่จะทำให้น้ำเดือดได้
-
มีน้ำไหลผ่าน: ต้องมีแหล่งน้ำใต้ดินไหลผ่าน ในกรณีนี้น้ำมาจากน้ำแข็งที่ละลายมาจากธารน้ำแข็งลางโจกุลล์และไหลผ่านหินลาวาที่มีรูพรุนเข้าไปในพื้นที่
-
มีระบบประปาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ: ต้องมีแหล่งกักเก็บน้ำใต้ดินเพื่อรวบรวมน้ำเอาไว้และมีช่องระบายที่เป็นแร่ซิลิกากันไม่ให้น้ำไหลซึมออกมาก่อนที่จะปะทุจากแหล่งเก็บกักน้ำออกมาเหนือผืนดิน
การเดินชมรอบพื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพไกเซอร์เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจและคุ้มค่ามาก แต่ความน่าสนใจของสถานที่แห่งนี้ก็ยังมีอีกมากมายนอกเหนือจากแหล่งน้ำพุร้อน
ไกเซอร์เซ็นเตอร์ (The Geysir Center) อยู่ฝั่งตรงข้ามพื้นที่พลังงานความร้อนไกเซอร์ ที่นี่มีร้านค้าขนาดใหญ่ที่จำหน่ายสินค้าหัตถกรรมและสินค้าท้องถิ่นของไอซ์แลนด์ และภายในศูนย์ฯ แห่งนี้ยังมีร้านอาหารหลายแห่งที่ให้บริการอาหารพื้นเมืองของไอซ์แลนด์ที่ปรุงจากวัตถุดิบในท้องถิ่นด้วย
หุบเขาเฮยคาดาลูร์เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับแวะชมธรรมชาติ แต่นักท่องเที่ยวควรให้ความเคารพต่อสถานที่และไม่โยนสิ่งของใดๆ เข้าไปในแหล่งน้ำพุร้อนหรือไกเซอร์
น้ำตกกุลล์ฟอสส์
จุดแวะแห่งที่สามซึ่งเป็นแห่งสุดท้ายของเส้นทางวงกลมทองคำคือน้ำตกกุลล์ฟอสส์ หนึ่งในน้ำตกที่งดงามที่สุดในไอซ์แลนด์ ที่มาของชื่อวงกลมทองคำก็ได้มาจากน้ำตกแห่งนี้ที่มีชื่อที่หมายความว่าน้ำตกทองคำ (Golden Falls) นั่นเอง
น้ำตกกุลล์ฟอสส์อยู่ห่างจากพื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพไกเซอร์ไม่มากโดยใช้เวลาขับรถไม่ถึงสิบนาที
น้ำตกทรงพลังแห่งนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาโบราณและมีน้ำไหลลงมาเป็นสองชั้นจากความสูงทั้งหมด 32 เมตร ช่วงที่มีน้ำไหลแรงที่สุดคือช่วงหน้าร้อนนั้นมีปริมาณน้ำเฉลี่ย 4,944 ลูกบาศก์ฟุต (140 ลูกบาศก์เมตร) ต่อวินาที
น้ำตกกุลล์ฟอสส์ไม่เพียงขึ้นชื่อเรื่องพละกำลังมหาศาลเท่านั้น แต่ยังโด่งดังจากสายรุ้งหลากสีที่มักจะปรากฏอยู่เหนือน้ำตกในวันที่มีแดดจัดด้วย
ซึ่งยิ่งทำให้น้ำตกดูงดงามมากขึ้น และนอกจากหุบเขาและน้ำตกในบริเวณนี้จะสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว ทิวทัศน์ที่มองออกไปเห็นท้องทุ่งสูงต่ำไล่ไปจนถึงผืนน้ำแข็งอันงดงามของธารน้ำแข็งลางโจกุลล์ (Langjokull) ยังเป็นภาพที่น่าประทับใจมากด้วย
เช่นเดียวกับแหล่งน้ำพุร้อนในธิงเวลลีร์และแหล่งน้ำในพื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพไกเซอร์ แม่น้ำธารน้ำแข็งที่กลายเป็นน้ำตกกุลล์ฟอสส์นั้นไหลมาจากธารน้ำแข็งลางโจกุลล์ แม่น้ำสายนี้มีชื่อเรียกว่าฮวิทเอา (Hvita) และครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับทำกิจกรรมล่องแก่งในไอซ์แลนด์
ฤดูร้อนเป็นฤดูกาลที่เหมาะสมสำหรับการมาชมน้ำตกกุลล์ฟอสส์มากที่สุด เพราะเมื่อบนพื้นดินไม่มีน้ำแข็งปกคลุม เส้นทางเดินสำหรับชมน้ำตกจะพาคุณขึ้นไปถึงบริเวณขอบน้ำตก เพื่อให้คุณเข้าไปอยู่ใกล้กับน้ำตกมากพอที่จะให้ละอองน้ำตกมาปะทะเข้ากับใบหน้า
ที่นี่ยังถ่ายภาพออกมาสวยมากด้วย และคุณสามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้หลายชั่วโมงเพื่อชื่นชมพละกำลังอันน่าเกรงขามของมวลน้ำให้เต็มที่
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าน้ำตกกุลล์ฟอสส์ในหน้าหนาวนั้นงดงามน้อยกว่า
แม้ว่าคุณจะไม่สามารถเข้าไปชมน้ำตกแบบใกล้ๆ ได้ แต่การได้เห็นน้ำตกบางส่วนกลายเป็นน้ำแข็งและมีก้อนน้ำแข็งไหลลงสู่หุบเหวนั้นเป็นภาพที่น่าประทับใจไม่น้อย และถ้าหากคุณจะมาเที่ยวในช่วงหน้าหนาว คุณควรแต่งกายให้อบอุ่นหลายๆ ชั้นด้วย เพราะว่าลมที่พัดมาจากธารน้ำแข็งนั้นเย็นจัดและยังพัดเอาละอองน้ำจากน้ำตกมาด้วยซึ่งยิ่งทำให้หนาวสุดขั้วเข้าไปใหญ่
-
อ่านเรื่องนี้ด้วย: น้ำตกยอดนิยม 11 แห่งในไอซ์แลนด์ที่ควรไปชมในฤดูหนาว
ปัจจุบันน้ำตกกุลล์ฟอสส์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดคนจากทั่วโลกและหากไม่มีน้ำตกแห่งนี้ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไอซ์แลนด์ก็คงไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้
ดังนั้นจึงถือเป็นโชคดีที่มีการอนุรักษ์น้ำตกแห่งนี้เอาไว้ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยว
แต่กระนั้นการอนุรักษ์ธรรมชาติในไอซ์แลนด์ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มีนักลงทุนต่างชาติต้องการเข้ามาสร้างเขื่อนและโรงผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่บริเวณน้ำตกกุลล์ฟอสส์
ทอมัส ทอมัสสัน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่อยู่ติดกับน้ำตกได้อนุญาตให้นักลงทุนชาวอังกฤษเข้ามาสำรวจที่ทางเพื่อสร้างเขื่อนขึ้นตรงนี้ แต่แผนการทั้งหมดของเขากลับไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการเมื่อลูกสาวของทอมัสไม่เห็นด้วย
ซิกริดูร์ ทอมัสดอททิร์ (Sigridur Tomasdottir) นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผู้ยิ่งใหญ่ไม่ยินยอมที่จะให้ทำลายสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เธอรัก
เธอจึงทำทุกวิถีทางเพื่ออนุรักษ์น้ำตกแห่งนี้เอาไว้ ตั้งแต่ขู่ที่จะกระโดดลงไปในน้ำตกไปจนถึงยอมเดินเท้าไปกลับเรคยาวิกบนทางลูกรังระยะทาง 200 กิโลเมตรหลายต่อหลายครั้งเพื่อไปดำเนินการต่อสู้ทางกฎหมาย
แม้ว่าการกระทำของซิกริดูร์จะไม่ได้เป็นการอนุรักษ์น้ำตกในทางตรงก็ตาม แต่ก็เรียกร้องให้คนหันมาสนใจคดีนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์แผนการก่อสร้างระดับชาติในครั้งนี้จนทำให้กระบวนการก่อสร้างเขื่อนต้องถูกเลื่อนออกไป
จนในที่สุดทนายความที่ทำงานร่วมกับซิกริดูร์สามารถคิดหาวิธีต่อรองกับนักลงทุน (ซึ่งขาดแคลนทุนทรัพย์ในการดำเนินงาน) และสามารถเกลี้ยกล่อมให้พวกเขายกเลิกสัญญาสร้างเขื่อนได้สำเร็จ
ทนายความท่านนี้มีชื่อว่าสเวนน์ บยอร์นส์สัน (Sveinn Bjornsson) ซึ่งชื่อนี้อาจจะฟังดูคุ้นหูอยู่ นั่นเป็นเพราะต่อมาในปีค.ศ. 1944 เขาได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของไอซ์แลนด์
ปัจจุบันนี้มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์หินให้กับซิกริดูร์บนหน้าผาที่หันหน้าไปทางน้ำตก เนื่องจากชาวไอซ์แลนด์มีความทราบซึ้งใจที่เธอได้ทำให้คนหันมาให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ธรรมชาติของไอซ์แลนด์และไม่หลงมัวเมาไปกับสิ่งล่อใจจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งการกระทำของเธอในที่สุดแล้วได้ช่วยอนุรักษ์น้ำตกกุลล์ฟอสส์เอาไว้ให้พวกเราทุกคนได้ชื่นชมมาจนถึงทุกวันนี้
ช่วงเวลาไหนที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยววงกลมทองคำมากที่สุด
วงกลมทองคำสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วงจะมีอุณหภูมิที่สบายกว่าและไม่มีหิมะ หากคุณตัดสินใจเลือกพักค้างคืนใกล้กับวงกลมทองคำในช่วงหน้าร้อน คุณจะมีโอกาสได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้อาบไล้แสงเฉดสีชมพูและส้มของพระอาทิตย์เที่ยงคืนด้วย
ส่วนในหน้าหนาวนั้นหิมะจะปกคลุมทุกอย่างในภูมิภาคนี้ ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนฤดูอื่นๆ แต่น้ำในน้ำตกกุลล์ฟอสส์จะยังคงไหลอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบางส่วนของน้ำตกจะกลายเป็นน้ำแข็งและอาจจะมองดูคล้ายแก้ว ช่วงเวลานี้ยังเหมาะกับการมาดูแสงเหนือด้วย เพียงแต่ต้องคอยระวังเวลาเดินเนื่องจากทางเดินชมน้ำตกอาจจะลื่น
บนถนนหนทางต่างๆ จะมีการกวาดหิมะอยู่เป็นประจำ แต่ก็อาจจะเจอกับพายุที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้ ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างเกิดความล่าช้าไปหมด และเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางคุณควรเพิ่มความระมัดระวังตามสภาพของท้องถนนด้วย
ดังนั้น การเลือกช่วงเวลาในการมาเยือนวงกลมทองคำนั้นจึงขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลมากกว่าการคำนึงถึงสภาพถนน
แผนที่ท่องเที่ยวบนเส้นทางวงกลมทองคำ
มีวิธีสำรวจวงกลมทองคำอยู่หลายแบบด้วยกัน แผนที่นี้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวบนเส้นทางวงกลมทองคำในแบบที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด ส่วนข้อมูลด้านล่างจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจระหว่างทางที่มีอยู่มากมาย
วงกลมทองคำอยู่ห่างจากเรคยาวิกมากแค่ไหน
การขับรถไปบนวงกลมทองคำของไอซ์แลนด์นั้นรวดเร็วและง่ายดายเนื่องจากอยู่ห่างจากเรคยาวิกไปทางตะวันออกเพียง 47 กิโลเมตร โดยเป็นระยะที่วัดจากสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งก็คืออุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ไกลที่สุดในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสามแห่งบนเส้นทางนี้คือน้ำตกกุลล์ฟอสส์นั้นอยู่ห่างจากเรคยาวิกไปทางตะวันออก 116 กิโลเมตร และจากแผนที่วงกลมทองคำอันนี้จะเห็นว่าสามารถเดินทางท่องเที่ยวตลอดเส้นทางได้ภายในเวลาหนึ่งวัน โดยที่สามารถกลับเข้าไปในเรคยาวิกในช่วงเย็นได้ อ่านบทความนี้เพื่อศึกษาวิธีขับรถเที่ยวบนเส้นทางวงกลมทองคำ
พักที่ไหนดีหากต้องการอยู่ใกล้กับวงกลมทองคำ
หากคุณต้องการเที่ยววงกลมทองคำแบบไม่ต้องเดินทางไปกลับเรคยาวิกภายในหนึ่งวัน คุณอาจจะพิจารณาเข้าพักในที่พักที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
มีโรงแรมให้บริการในสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสามแห่ง และยังมีจุดตั้งแคมป์อยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์และพื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพไกเซอร์ด้วยหากคุณอยากกางเต็นท์
โรงแรมที่ได้รับความนิยมบนเส้นทางวงกลมทองคำ ได้แก่
ไปที่บทความนี้เพื่ออ่านเกี่ยวกับเข้าพักที่ไหนดีในไอซ์แลนด์ หรือเข้าไปที่นี่เพื่อค้นหาโรงแรมในไอซ์แลนด์ที่ราคาดีที่สุด
5 อันดับแผนการเดินทางท่องเที่ยวและทัวร์วงกลมทองคำยอดนิยม
วงกลมทองคำเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไอซ์แลนด์และหลายปีที่ผ่านมานี้เราได้ช่วยให้นักท่องเที่ยวหลายพันคนเดินทางท่องเที่ยวบนเส้นทางนี้ และนี่คือ 5 อันดับแผนการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดบนวงกลมทองคำ ซึ่งเราวัดจากฟีดแบ็คของลูกค้าที่มาใช้บริการ
5. ทัวร์วงกลมทองคำราคาย่อมเยา 10 ชั่วโมง พร้อมขี่สโนว์โมบิลบนลางโจกุลล์และบริการรับส่งจากเรคยาวิก
หากคุณกำลังมองหาทริปแอดเวนเจอร์ในราคาประหยัด ทัวร์ราคาย่อมเยาแพ็คเกจนี้พาชมสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดบนวงกลมทองคำ ทัวร์นี้รวมกิจกรรมขี่สโนว์โมบิลบนธารน้ำแข็งลางโจกุลล์ ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่เป็นอันดับสองของไอซ์แลนด์ด้วย
ทัวร์ 3 วันนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ห้ามพลาดบนเส้นทางวงกลมทองคำและทริปนี้รวมกิจกรรมที่ขึ้นชื่อสองอย่างของไอซ์แลนด์ด้วย ได้แก่ การสำรวจถ้ำน้ำแข็งและไฮกิ้งบนธารน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ไพศาล
3. ทัวร์วงกลมทองคำกรุ๊ปเล็ก พร้อมพาชมฟาร์มไอศกรีมและบริการรับส่งจากเรคยาวิก
ทัวร์กลุ่มเล็กที่ดูแลอย่างใกล้ชิดนี้พาคุณไปชมสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมบนวงกลมทองคำและยังพาไปชิมไอศกรีมอร่อยๆ ที่ฟาร์มของชาวบ้านในหุบเขาเอฟสตีดาลูร์ (Efstidalur)
ทัวร์ระยะสั้นราคาย่อมเยาแพ็คเกจนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการไปชมสถานที่ไฮไลต์บนวงกลมทองคำภายในช่วงบ่ายและเดินทางกลับเข้าเมืองเรคยาวิกในตอนค่ำ
1. แพ็คเกจดูแสงเหนือหน้าหนาว 4 วัน พร้อมเที่ยววงกลมทองคำ ชายฝั่งทางใต้ และบลูลากูน
ทัวร์วงกลมทองคำที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของเราแพ็คเกจนี้พาคุณไปชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แบบไม่ต้องเร่งรีบ ซึ่งคุณจะมีเวลาอย่างเหลือเฟือในการเที่ยว ทัวร์นี้เริ่มต้นที่สปาบลูลากูน ที่คุณจะได้แช่น้ำร้อนจากพลังงานความร้อนใต้พิภพเพื่อผ่อนคลายร่างกายก่อนที่จะออกเที่ยวไอซ์แลนด์ ในวันถัดมาคุณจะได้ไปสำรวจเส้นทางวงกลมทองคำพร้อมกับขี่สโนว์โมบิลบนธารน้ำแข็งลางโจกุลล์ (Langjokull) ที่อยู่ใกล้ๆ กัน และวันต่อจากนั้นก็จะไปเที่ยวบนชายฝั่งทางใต้อันงดงามของประเทศไอซ์แลนด์ เพื่อไปชมน้ำตกสวยๆ หาดทรายดำเรย์นิสฟยารา (Reynisfjara) พร้อมกับตัวเลือกกิจกรรมเสริมที่พาคุณไปเดินบนธารน้ำแข็งโซลเฮมาโจกุลล์ (Solheimajokull)
วิธีที่ดีที่สุดในการเที่ยววงกลมทองคำ
ในฐานะเส้นทางท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไอซ์แลนด์ วงกลมทองคำสามารถเที่ยวชมได้หลายวิธีด้วยกัน
สถานที่ท่องเที่ยวหลักบนเส้นทางนี้มีสามแห่ง แต่ก็ไม่จำเป็นว่าต้องเที่ยวอยู่แค่สามแห่งนี้เท่านั้น คุณสามารถค้นหาจากทัวร์ที่มีตัวเลือกแตกต่างกันหลายร้อยรายการที่ผู้ให้บริการมากมายรวมเอาทริปเที่ยววงกลมทองคำเข้ากับกิจกรรมพิเศษที่น่าสนใจ หรือไม่ก็นำไปรวมกับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ
ทัวร์บางโปรแกรมจะทำให้คุณได้เที่ยวในแบบที่ไม่เหมือนใครด้วย เช่น ทัวร์นั่งเฮลิคอปเตอร์หรือทัวร์เที่ยวในช่วงค่ำใต้แสงพระอาทิตย์เที่ยงคืน
และแน่นอนว่าการขับรถจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งนั้นสนุกสนานในแบบที่ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและแผนการเดินทางเหมือนกับแพ็คเกจทัวร์แบบที่มีไกด์พาเที่ยว
การเช่ารถขับจะทำให้คุณสามารถสำรวจเส้นทางได้ตามอัธยาศัยและสามารถขับออกนอกเส้นทางเพื่อไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักซึ่งอยู่ใกล้เคียงได้มากเท่าที่คุณต้องการ
สำหรับผู้ที่ไม่อยากรู้สึกกดดันกับการขับรถในประเทศไอซ์แลนด์ คุณก็สามารถเลือกไปกับทัวร์แบบมีไกด์นำเที่ยวที่มีอยู่มากมายได้เช่นกัน
ทัวร์บางโปรแกรมก็ชัดเจนไม่ซับซ้อน แพ็คเกจเหล่านี้จะพาคุณไปชมสถานที่ท่องเที่ยวสามแห่งบนวงกลมทองคำและคุณจะได้กลับที่พักทันทีหลังจากนั้น
ในขณะที่โปรแกรมอื่นๆ จะพาคุณไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งอื่นด้วย เช่น ทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟเคริด (Kerid) และบลูลากูน
และเนื่องจากนักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวรอบวงกลมทองคำได้ภายในเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง รวมขับรถไปกลับจากเรคยาวิกจึงมีแพ็คเกจทัวร์แบบคอมโบเกิดขึ้นมากมาย
เช่นแพ็คเกจทัวร์เที่ยววงกลมทองคำและขี่สโนว์โมบิลที่จะพาคุณไปชมสถานที่ทั้งสามแห่ง และจากบริเวณน้ำตกกุลล์ฟอสส์ คุณจะได้นั่งรถขึ้นไปบนธารน้ำแข็งลางโจกุลล์เพื่อไปประลองความเร็วกันบนผืนน้ำแข็งที่ด้านบน
หรือแพ็คเกจที่รวมเที่ยววงกลมทองคำเข้ากับกิจกรรมดำน้ำตื้นด้วยสน็อกเกิลที่ซิลฟราในธิงเวลลีร์ หรือจะไปเที่ยวถ้ำลาวาบนคาบสมุทรเรคยาเนสก็ได้เช่นกัน
นอกจากนี้หากคุณต้องการรวมทริปเหล่านี้เข้ากับประสบการณ์ทางวัฒนธรรมซึ่งมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบก็สามารถทำได้ เช่น คุณอาจจะเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ตลอดทั้งวัน จากนั้นค่อยปิดท้ายทัวร์ด้วยการไปลิ้มลองอาหารพื้นเมืองของไอซ์แลนด์ในตอนเย็น
หรือแม้กระทั่งทัวร์แบบหลายวันก็ยังมีให้บริการ ทั้งทัวร์แบบมีไกด์และทัวร์ขับรถเที่ยวเอง และมีให้เลือกทั้งแบบที่เน้นเที่ยวเฉพาะวงกลมทองคำหรือแบบที่แวะเที่ยวบนวงกลมทองคำและที่อื่นๆ
สำหรับผู้ที่มีเวลาเพียงแค่สั้นๆ อาจจะเลือกไปกับทัวร์เที่ยวชายฝั่งทางใต้ 3 วันแบบมีไกด์ ซึ่งทัวร์นี้จะาคุณเที่ยวตามเส้นทางวงกลมทองคำ เลียบชายฝั่งทางใต้ และไปชมทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาร์ลอน รวมถึงพาคุณเข้าไปชมถ้ำน้ำแข็งที่เป็นประกายวิบวับอย่างงดงามอยู่ภายในธารน้ำแข็งด้วย
สำหรับผู้ที่มีเวลาหลายสัปดาห์ก็อาจจะมีตัวเลือกมากหน่อย และเราขอแนะนำแพ็คเกจขับรถเที่ยวเอง 14 วันรอบถนนวงแหวนอันนี้ที่จะพาคุณไปชมพื้นที่ฟยอร์ดทางตะวันตกที่น่าประทับใจด้วย
9 จุดแวะเที่ยวนอกเส้นทางเมื่อคุณเดินทางท่องเที่ยวอยู่บนเส้นทางวงกลมทองคำ
คุณสามารถจัดทริปเที่ยวรอบวงกลมทองคำได้เสมอไม่ว่าคุณจะมีเวลาในประเทศไอซ์แลนด์ขนาดไหนหรือมีแผนเที่ยวอย่างไรก็ตาม
การเดินทางท่องเที่ยวทางรถยนต์เป็นประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวทุกท่านไม่ควรพลาดเพราะว่าจะได้เห็นทิวทัศน์ที่หลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นจึงแนะนำให้เช่ารถขับในไอซ์แลนด์และออกไปสำรวจพื้นที่ที่อยู่ใกล้ๆ กับวงกลมทองคำด้วย
หากคุณเลือกที่จะขับรถวนรอบวงกลมทองคำด้วยตัวเอง บนเส้นทางนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่นอกเส้นทางอีกมากมายที่รอให้คุณไปสำรวจด้วย ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสถานที่ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก ดังนั้นคุณอาจจะรวมที่เที่ยวคลาสสิกบนเส้นทางวงกลมทองคำเข้ากับสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่นอกเส้นทางเหล่านี้ก็ได้
สถานที่ไฮไลต์นอกเส้นทางวงกลมทองคำที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก และคุณควรพิจารณาตัวเลือกเหล่านี้ด้วย
9. สกัลโฮลท์
ภาพจาก Wikimedia, Creative Commons โดย Qasmed ไม่มีการแก้ไข
สกัลโฮลท์ (Skalholt) เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์โดดเด่นของไอซ์แลนด์ และเป็นเมืองที่เป็นสถานที่พำนักของบิชอปของไอซ์แลนด์มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1056 เรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 19 บิชอปแห่งไอซ์แลนด์เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศเมื่อสมัยที่ไอซ์แลนด์อยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรต่างชาติจากแถบสแกนดิเนเวีย โดยตำแหน่งบิชอปนี้มีความสำคัญมากกว่าในด้านศาสนาด้วย ดังนั้นสกัลโฮลท์จึงเคยเป็นฐานอำนาจที่สำคัญมากของไอซ์แลนด์มาหลายศตวรรษ
ต่อมาในปีค.ศ. 1200 สกัลโฮลท์ได้กลายเป็นเมืองแห่งแรกของประเทศไอซ์แลนด์ โดยมีประชากร 120 คน และยังเป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนแห่งแรกของประเทศที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12 ด้วย ทุกวันนี้สกัลโฮลท์มีบิชอปหรือมุขนายกหนึ่งท่านและเมืองนี้ยังถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมมากมาย รวมถึงคอนเสิร์ตฤดูร้อนประจำเมืองซึ่งมีชื่อเสียงมากๆ ด้วย
คุณสามารถเดินทางไปยังสกัลโฮลท์ได้โดยใช้เส้นทางถนนหมายเลข 31 ซึ่งตัดกับถนนหมายเลข 35 และวิ่งจากพื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพไกเซอร์ไปยังเรคยาวิก
หากคุณต้องขับรถผ่านสกัลโฮลท์อยู่แล้ว คุณควรแวะชมมหาวิหารในเมืองนี้ด้วย
8. หุบเขาธยอร์ซาร์ดาลูร์
หากคุณต้องการไปสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวลับๆ บ้างและไม่แคร์ที่จะต้องเพิ่มระยะทางขับรถ การขับรถออกนอกเส้นทางเพื่อไปยังหุบเขาธยอร์ซาร์ดาลูร์นั้นเป็นความคิดที่ดีและใช้เวลาแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
หุบเขาแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ไฮแลนด์ในทางใต้ของไอซ์แลนด์และมีสถานที่ธรรมชาติที่งดงามน่าอัศจรรย์มากมาย
คุณจะได้เห็นน้ำตกที่สวยงามหลายแห่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยไปเห็น เช่น น้ำตกไฮฟอสส์ (Haifoss) น้ำตกกรานนิ (Granni) และน้ำตกฮยาลปาร์ฟอสส์ (Hjalparfoss)
ป่าเบอร์เฟลล์ (Burfell) เป็นสถานที่ธรรมชาติที่น่าสนใจอีกแห่ง โดยเป็นป่าที่มีขนาดใหญ่มากกว่าป่าทั่วไปของไอซ์แลนด์
ธยอร์ซาร์ดาลูร์นั้นเป็นสวรรค์ของนักพฤกษศาสตร์ด้วย เพราะในบริเวณนี้มีดอกไม้ป่า หญ้า และมอสส์งอกงามหลายชนิด
สำหรับการเดินทาง จากน้ำตกกุลล์ฟอสส์ให้ขับรถไปทางทิศใต้บนถนนหมายเลข 30 จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 32
7. โซลเฮมาร์ อีโควิลเลจ
โซลเฮมาร์ (Solheimar) เป็นหมู่บ้านเชิงอนุรักษ์ที่ไม่เหมือนใคร และที่นี่มีประชากรประมาณ 100 คน
ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1930 โดยเซสเซลยา ซิกมุนด์ดอททิร์ (Sesselja Sigmundsdottir) เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนของเด็กกำพร้าและเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ โซลเฮมาร์เป็นสถานที่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาโดยตลอด โดยมีแนวคิดที่ต้องการเพิ่มศักยภาพให้กับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงอายุหรือความสามารถ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เสน่ห์และบรรยากาศที่แปลกใหม่เหล่านี้ ได้ดึงดูดให้ผู้คนแวะเข้ามาชมมากขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันนี้ มีคนแวะมาเยี่ยมเยียนถึงปีละมากกว่า 30,000 คน
ชุมชนแห่งนี้มีความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติในแบบที่นักท่องเที่ยวต้องการ และมีทั้งร้านเบเกอรี่ คาเฟ่ เกสท์เฮาส์ และอาร์ตแกลเลอรี่ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ดำเนินการโดยชาวบ้านในเมือง
ร้านขายของที่ระลึกในโซลเฮมาร์นั้นจำหน่ายของที่ระลึกเป็นสินค้าแฮนด์เมดจากเวิร์กชอปที่ชาวบ้านมารวมตัวกันทำเทียน ทอผ้า และปั้นเซรามิก
นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของเซสเซลยาเฮาส์ (Sesselja House) ซึ่งเป็นศูนย์จัดนิทรรศการเกี่ยวกับระบบนิเวศและการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย
โซลเฮมาร์ตั้งอยู่ห่างจากเลยการ์วาทน์ (Laugarvatn) ไปทางทิศใต้ 21 กิโลเมตร ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับเป็นส่วนเสริมของทัวร์ขับรถเที่ยววงกลมทองคำด้วยตัวเอง หมู่บ้านแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวประเภทที่แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศในเชิงบวกและการมีอิสระในแบบที่ไม่เหมือนใครจริงๆ
6. น้ำตกเฮลกูฟอสส์และโธรูฟอสส์
มีน้ำตกสวยงามมหัศจรรย์อีกหลายแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้กับวงกลมทองคำ
แม้ว่าเส้นทางท่องเที่ยวสุดคลาสสิกนี้จะเน้นน้ำตกกุลล์ฟอสส์เป็นหลัก แต่ก็ยังมีน้ำตกแห่งอื่นๆ ที่อยู่ใกล้กับเส้นทางนี้ ซึ่งคนยังไม่ค่อยรู้จัก แต่มีความคุ้มค่าแก่การเดินทางไปชมอีกหลายแห่ง
อย่างเช่นน้ำตกเฮลกูฟอสส์ (Helgufoss) และน้ำตกโธรูฟอสส์ (Thorufoss) น้ำตกสองแห่งนี้โดดเด่นมาก และถูกตั้งชื่อตามชื่อของสตรีไอซ์แลนด์ ได้แก่ เฮลกาและธอรา
น้ำตกเฮลกูฟอสส์อยู่ไม่ไกลจากถนนหมายเลข 36 ระหว่างทางที่จะไปธิงเวลลีร์จากเรคยาวิก
ส่วนน้ำตกโธรูฟอสส์เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำลักซาอิคยอส (Laxa i Kjos river) และสามารถไปชมได้โดยขับไปตามถนนหมายเลข 48 เลยน้ำตกเฮลกูฟอสส์ไปอีกแต่ก่อนถึงอุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์
โดยจะมีป้ายบอกและมีพื้นที่สำหรับจอดรถอยู่ไม่มากที่บริเวณริมถนน ซึ่งคุณสามารถจอดแถวนี้ได้เลย
ถ้าคุณต้องการไปเที่ยวน้ำตกทั้งสองแห่งคุณจำเป็นต้องมีรถ เพราะแพ็คเกจทัวร์ที่พาเที่ยววงกลมทองคำที่จัดกันนั้นไม่ได้รวมพาไปสถานที่ที่ห่างไกลทั้งสองแห่งนี้
5. ฟริดเฮมาร์ ฟาร์มปลูกมะเขือเทศและเลี้ยงม้า
ภาพจากทัวร์เที่ยววงกลมทองคำเดินทางด้วยรถมินิบัสไปยังฟริดเฮมาร์และทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟเคริด
ฟริดเฮมาร์ (Fridheimar) เป็นฟาร์มที่ปลูกมะเขือเทศ แตงกวา และเลี้ยงม้า ฟาร์มแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 35 ใกล้กับเรคโฮลท์ (Reykholt)
ฟาร์มนี้เป็นเหมาะสำหรับแวะมารับประทานอาหารกลางวันในช่วงเที่ยงถึง 4 โมงเย็น ซึ่งเมนูเด็ดของที่นี่เป็นซุปมะเขือเทศกับขนมปังโฮมเมด
หากกลุ่มของคุณมีคนไม่มาก คุณอาจจะวอล์กอินเข้าไปได้เลย แต่โดยมากแล้วควรโทรจองล่วงหน้าเพราะทางร้านอาจจะมีลูกค้าเยอะ
แต่ถ้าคุณต้องการเข้าร่วมกับทัวร์ที่พาชมฟาร์มหรือดูการแสดงของม้า คุณจะต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น แม้ว่าฟริดเฮมาร์จะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่คนมักจะมองข้ามเมื่อมาเที่ยวไอซ์แลนด์ แต่การมาที่นี่ถือว่าคุ้มค่ามาก
4. ขี่สโนว์โมบิลบนธารน้ำแข็งลางโจกุลล์
ภาพจากทริปสโนว์โมบิลแอดเวนเจอร์ | เที่ยววงกลมทองคำและขี่สโนว์โมบิลที่ลางโจกุลล์
ตัวเลือกที่นิยมมากที่สุดคือการรวมทัวร์เที่ยววงกลมทองคำกับขี่สโนว์โมบิลที่ธารน้ำแข็งลางโจกุลล์
นอกจากนี้ยังสามารถเลือกจองแค่ทัวร์ขี่สโนว์โมบิลที่ธารน้ำแข็งลางโจกุลล์หรือเลือกอัปเกรดทัวร์ด้วยการเพิ่มทริปเที่ยวถ้ำน้ำแข็งเข้าไปได้อีก
ลางโจกุลล์นั้นอยู่ไม่ไกลจากน้ำตกกุลล์ฟอสส์ ซึ่งผู้ให้บริการทัวร์จะไปรับคุณจากแถวน้ำตกเพื่อพาไปขี่สโนว์โมบิล ในวันที่อากาศแจ่มใสคุณจะสามารถมองเห็นวิวที่งดงามได้จากบนธารน้ำแข็งและระหว่างที่เดินทางขึ้นไปบนธารน้ำแข็งด้วยรถซูเปอร์จี๊ปขนาดใหญ่ที่ผ่านการดัดแปลงมาเป็นพิเศษก็มีความแอดเวนเจอร์อยู่ในตัวอยู่แล้ว ดังนั้นคนที่ชอบทำอะไรตื่นเต้นไม่ควรพลาด
3. ซีเครทลากูนในฟลูดิร์
ภาพจากทัวร์วงกลมทองคำและซีเครทลากูน
ซีเครทลากูน หรือ Gamla Laugin ที่ฟลูดิร์ (Fludir) เป็นสถานที่พักผ่อนและเติมพลังให้กับร่างกายหลังจากที่ท่องเที่ยวมาตลอดทั้งวัน
ที่นี่เป็นสระว่ายน้ำที่เก่าแก่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1891 อุณหภูมิของน้ำในสระจะอยู่ที่ 38-40 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี โดยได้รับน้ำมาจากแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติที่อยู่รอบบริเวณ
นอกจากนี้ยังมีทางเดินรอบสระน้ำเอาไว้ให้ผู้มาใช้บริการได้เดินเล่นชมวิวพื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพแห่งนี้ด้วย
ภาพจากทัวร์วงกลมทองคำและซีเครทลากูน
สระว่ายน้ำแห่งนี้เคยเป็นสถานที่สอนว่ายน้ำมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1909 จนถึง 1947 แต่ก็มีพ่ายแพ้ให้กับสระใหม่ๆ ที่มีอยู่รอบประเทศ แต่ไม่นานมานี้ได้มีการปรับปรุงใหม่และทำให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น พร้อมกับสร้างห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและมีคาเฟ่ด้วย โดยเพิ่งเปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2014
หากคุณต้องการเดินทางมาใช้บริการสระที่นี่ คุณควรจองล่วงหน้าเสมอเพราะว่าซีเครทลากูนกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ฟลูดิร์ตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 30 สามารถเข้าถึงได้ด้วยการขับรถ หรือจะเดินทางมากับทัวร์แบบมีไกด์ที่พาเที่ยววงกลมทองคำและซีเครทลากูนก็ได้
2. ปากปล่องภูเขาไฟเคริด
ภาพจากทัวร์มินิบัส | วงกลมทองคำ & ปากปล่องภูเขาไฟเคริด
ทัวร์วงกลมทองคำแบบเต็มวันจำนวนมากมักจะพามาชมปากปล่องภูเขาไฟเคริดด้วย ดังนั้นหากคุณขับรถเที่ยวเอง คุณก็ไม่ควรพลาดแวะมาชมสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งนี้เช่นกัน ปล่องภูเขาไฟที่นี่เกิดขึ้นประมาณ 6,500 ปีมาแล้ว โดยมีรูปทรงวงรี และมีทะเลสาบที่ก้นปล่อง
หินรอบๆ ปากปล่องภูเขาไฟมีสีแดงและส้มเหมือนเปลวไฟและมีริ้วๆ สีดำและเขียวแทรกอยู่ทั่วไป ซึ่งสีสันเหล่านี้ตัดกันอย่างสวยงามกับน้ำสีฟ้าเข้ม
ด้วยรูปทรงของเคริดนี่เองที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านการสะท้อนของเสียงและศิลปินมักจะมาจัดคอนเสิร์ตที่นี่ โดยพวกเขาจะลอยเรืออยู่กลางทะเลสาบ ปล่องภูเขาไฟแห่งนี้อยู่บนถนนหมายเลข 5 ใกล้กับเมืองเซลฟอสส์ (Selfoss) และใกล้ๆ กับปากปล่องมีพื้นที่สำหรับจอดรถให้นิดหน่อย
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวจะต้องเสียค่าเข้าชมปล่องภูเขาไฟเคริดเล็กน้อย
1. อ่างน้ำพลังงานความร้อนใต้พิภพฟอนทานา
ภาพจากทัวร์แบบมีไกด์ 9 ชั่วโมงเที่ยววงกลมทองคำและอ่างน้ำสปาฟอนทานา พร้อมบริการรับส่งจากเรคยาวิก
อ่างน้ำพลังงานความร้อนใต้พิภพฟอนทานา (Fontana Geothermal Baths) เป็นชื่อของสปาที่อยู่ในเมืองเลยการ์วาทน์ (Laugarvatn) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทางหากเดินทางจากอุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์ไปยังพื้นที่พลังงานความร้อนใต้พิภพไกเซอร์
เลยการ์วาทน์เป็นหมู่บ้านที่งดงามราวกับภาพวาด โดยหมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ริมทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้านกิจกรรมความร้อนใต้พิภพ ชาวบ้านในละแวกนี้รู้จักใช้ประโยชน์จากทะเลสาบนี้มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1929 แล้ว แม้ว่าสปาที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นเพิ่งมาสร้างและเปิดให้ใช้บริการในปี 2011
ในสปาฟอนทานาจะมีห้องอบไอน้ำจำนวน 3 ห้อง และมีห้องซาวน่าแบบดั้งเดิมที่ทำด้วยไม้แบบฟินเแลนด์ด้วย โดยนักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นวิวทะเลสาบและธรรมชาติโดยรอบได้ระหว่างที่ใช้บริการ นอกจากนี้ ยังมีสระน้ำตื้นอีกหลายสระ ซึ่งมีอุณหภูมิแตกต่างกันไป ทำให้เด็กๆ ก็สามารถลงเล่นน้ำที่นี่ได้ในระหว่างที่ผู้ใหญ่มาพักผ่อนแช่น้ำ
อ่างน้ำพลังงานความร้อนใต้พิภพฟอนทานานั้นอยู่ติดกับทะเลสาบเลย ทำให้บางครั้งนิ้วเท้าของคุณอาจจะสัมผัสได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่ผุดมาจากผิวดิน
หากคุณมาแวะที่นี่ คุณต้องไม่ลืมชิมขนมปังไรย์ที่ทางสปาจะอบไว้ใต้ทรายร้อนเป็นเวลา 24 ชั่วโมงด้วย ขนมปังข้าวไรย์อบใหม่ร้อนๆ ทาเนยนั้นอร่อยมากและเป็นอาหารพื้นเมืองของไอซ์แลนด์
คุณสามารถเพลิดเพลินกับสถานที่แห่งนี้และวงกลมทองคำได้เมื่อไปกับเดย์ทัวร์ที่พาเที่ยววงกลมทองคำและอ่างน้ำพลังงานความร้อนใต้พิภพฟอนทานา
ไม่ว่าคุณวางแผนจะไปเที่ยวกับทัวร์แบบมีไกด์นำเที่ยวหรือเลือกขับรถเที่ยวด้วยตัวเอง เราก็หวังว่าคุณจะได้ประโยชน์จากสถานที่ท่องเที่ยวนอกเส้นทางวงกลมทองคำทั้ง 9 แห่งนี้ ซึ่งจะทำให้ทริปเที่ยวไอซ์แลนด์ของคุณมีความพิเศษมากขึ้น เข้าสู่ระบบเฟซบุ๊กเพื่อดูหรือเพิ่มความคิดเห็นของคุณได้ในส่วนที่เป็นคอมเมนต์ด้านล่างนี้!
บทความอื่นที่น่าสนใจ
คู่มือวีไอพีคลับ Guide to Iceland
หากคุณเป็นลูกค้าของ Guide to Iceland คุณไม่เพียงแต่สามารถเข้าถึงโปรแกรมทัวร์ ที่พัก และรถเช่าที่มีให้เลือกมากมายในไอซ์แลนด์เท่านั้น... คุณยังสามารถเพลิดเพลินไปกับส่วนลดและข้อเสนอพิเศษมากมายจากสถานประก...อ่านเพิ่มคู่มือท่องเที่ยว: บลูลากูน ไอซ์แลนด์
เรียนรู้ทุกสิ่งที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับบลูลากูนของประเทศไอซ์แลนด์ ค้นหาว่าบลูลากูนคืออะไร วิธีเดินทาง เวลาเปิดทำการ เวลาที่ดีที่สุดในการไปใช้บริการ และเคล็ดลับอื่นๆ ในการวางแผนการเดินทางของคุณในค...อ่านเพิ่ม10 อันดับทัวร์ที่ดีที่สุดในไอซ์แลนด์: ทัวร์ยอดนิยมและไม่เหมือนใคร
ค้นพบ 10 อันดับทัวร์ที่ดีที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่ธรรมชาติอันเงียบสงบไปจนถึงการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น เรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศ รวมถึงทัวร์และทริปเที่ยวที่...อ่านเพิ่ม
ดาวน์โหลดตลาดการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ลงในโทรศัพท์ของคุณเพื่อจัดการการเดินทางทั้งหมดของคุณได้ในที่เดียว
สแกนรหัส QR นี้ด้วยกล้องในโทรศัพท์ของคุณแล้วกดลิงก์ที่ปรากฏขึ้นเพื่อเพิ่มตลาดการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ไว้ในกระเป๋าของคุณ ป้อนหมายเลขโทรศัพท์หรือที่อยู่อีเมลของคุณเพื่อรับ SMS หรืออีเมลพร้อมลิงก์ดาวน์โหลด