9 สถานที่ยอดฮิตบนวงกลมทองคำ |ไอซ์แลนด์

9 สถานที่ยอดฮิตบนวงกลมทองคำ |ไอซ์แลนด์

ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรอง

อะไรคือเส้นทางชมทัศนียภาพวงกลมทองคำของประเทศไอซ์แลนด์และทำไมที่นี่ถึงเป็นที่นิยม คุณควรจะหยุดแวะที่ไหนเมื่อขับรถบนเส้นทางวงกลมทองคำ.

เส้นทางท่องเที่ยว”วงกลมทองคำ” (Golden Circle ) คืออะไร และทำไมที่นี่ถึงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง จุดไหนบ้างที่คุณไม่ควรพลาดบนเส้นทางนี้ สามารถอ่านและหาคำตอบเกี่ยวกับเส้นทางที่โด่งดังที่สุดของประเทศไอซ์แลนด์ พร้อมทั้งสถานที่ยอดฮิตอื่นๆตลอดเส้นทางได้ที่นี่.



ไม่ว่าใครก็ตามที่พูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไอซ์แลนด์ พวกเขามักจะพูดถึง วงกลมทองคำ และเส้นทางนี้มักจะอยู่ในรายการอันดับต้นๆ ของผู้มาเยือนประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นโปรแกรมที่เกือบทุกบริษัททัวร์ นำเสนอผ่านทางหน้าเว็บไซต์,

“วงกลมทองคำ” หรือที่เรียกว่า The Golden Circle อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์ประกอบไปด้วยสถานที่ที่โดดเด่น 3 แห่ง คืออุทยานแห่งชาติธิงเวลลีย์ (Þingvellir National Park) น้ำพุร้อนไกเซอร์ (Geysir Geothermal Area)  และ น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss waterfall) จุดท่องเที่ยวที่มหัศจรรย์เหล่านี้เป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกและแต่ละก็ที่มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจเฉพาะตัว อีกทั้งมีระยะทางในการขับรถไม่เกิน 2 ชั่วโมงจาก เมืองเรคยาวิก (Reykjavík) นั่นหมายถึงคุณจะสามารถไปเยี่ยมชมทั้ง 3 สถานที่ได้ภายในวันเดียว,

ซึ่งมีเพียง เรคยาวิก และ บลูลากูนเท่านั้นที่อยู่นอกจากสถานที่นี้ แต่ได้รับความนิยม จากนักท่องเที่ยวเพราะความโด่งดังของพวกเขา. 

อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีย์  

อ๊อกซาร่าฟอสส์เป็นน้ำตกที่ค้นพบได้ในอุทยานแห่งชาติธิงเวลลีย์ในประเทศไอซ์แลนด์.

อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีย์ เป็นสถานที่ที่น่ามหัศจรรย์ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และวิถีชีวิต อีกทั้งสภาพทางธรณีวิทยาโดยรอบของที่นี่ยังมีความน่าทึ่งอีกด้วย อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีย์ได้รับการยกย่องให้เป็นที่สุดในอุทยานแห่งชาติทั้งสามแห่งที่ถูกตั้งขึ้นในประเทศไอซ์แลนด์ และที่นี่ยังเป็นที่เดียวที่ได้รับการยกย่องจากองค์กร ยูเนสโก้ (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลกอีกด้วย อุทยานแห่งชาติธิงเวลลีย์มักจะเป็นจุดท่องเที่ยวจุดแรกในวงกลมทองคำ เพราะห่างจากเมืองเรคยาวิกเพียง 45 นาที.

เราสามารถค้นพบทั้งที่มาของการเกิดภูมิประเทศแบบเกาะ และรากฐานของสังคมในปัจจุบันได้ที่ธิงเวลลีย์แห่งนี้ ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีสภาพทางธรณีวิทยาอันน่าทึ่งประกอบกับประวัติศาสตร์ที่น่าหลงไหลมานับพันปี นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการกำเนิดโลกและ จุดเริ่มต้นทางการเมืองแบบประชาธิปไตยได้ที่นี่อีกด้วย

Northern Lights over the UNESCO site, Þingvellir National Park.แสงเหนือเกิดขึ้นเหนือพื้นที่มรดกโลกที่เรียกว่าธิงเวลลีย์.



สภาพทางธรณีวิทยาของที่นี่น่าทึ่งมาก พื้นที่ภายในอุทยานแห่งชาติแห่งนี้เกิดจากรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก2แผ่น ระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยูเรเชีย รอยแยกนี้ยาวไปจนถึงประเทศไอซ์แลนด์. ประเทศนี้เป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถเห็น แนวแผ่นเปลือกโลกแยกกัน (Mid Atlantic Ridge) ที่สามารถเห็นได้เหนือระดับน้ำทะเล และไม่มีที่ใดที่เห็นชัดได้กว่า ที่ธิงเวลล์ลิร์.

จากเมืองเรคยาวิกไปยังอุทยานแห่งชาตินี้ คุณจะต้องขับรถตรงไปทางหน้าผาอันสูงชัน ซึ่งอยู่ในส่วนของภูมิภาคอเมริกาเหนือ และจะเห็นว่าทวีปยูเรเชียยังอยู่ห่างออกไปอีกหลายกิโลเมตร ในอีกฝั่งหนึ่งของอุทยาน  ซึ่งถ้าคุณได้เห็นคุณจะรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก.

ลักษณะรอยแยกระหว่างสองแผ่นเปลือกโลกนี้ เหมือนกับกระเป๋าที่เต็มไปด้วยแมกม่า มองดูเหมือนกลีบกุหลาบที่ถูกทำให้แยกออกจากกัน เป็นปัจจัยให้เกิดประเทศไอซ์แลนด์เมื่อหลายล้านปีก่อน แผ่นเปลือกโลกเหล่านี้ยังคงมีการเคลื่อนที่อยู่ และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมประเทศไอซ์แลนด์มักมีการปะทุของภูเขาไฟอยู่เสมอ แผ่นดินของประเทศนี้จึงยังถือว่าเป็นแผ่นดินที่มีอายุน้อย และยังอยู่ในระหว่างกระบวนการ การก่อตัว.

น้ำตกอ๊อกซาร่าฟอสส์ท่ามกลางหิมะ.

กระบวนการการก่อตัวของแผ่นดินสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในธิงเวลลีย์ ใต้พื้นดินของที่นี่เต็มไปด้วยหินลาวาที่กำลังเคลื่อนตัว อีกทั้งยังมีภูเขาไฟมากมายเกิดขึ้นรอบๆอุทยาน และหากขึ้นไปยังซิงเควลลาวัทน์ (Þingvallavatn) คุณจะได้พบกับทะเลสาบตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไอซ์แลนด์ด้วย.

อย่างไรก็ตาม เป็นเวลา 2000 ปีแล้วที่ไม่มีเคยเกิดเหตุการณ์การระเบิดของภูเขาไฟในพื้นที่ ทำให้อุทยานแห่งนี้เต็มไปด้วยความเขียวขจี แต่ที่น่าสนใจคือหญ้ามอสเจริญเติบโตและปกคลุมผืนป่าของประเทศไอซ์แลนด์ตอนนี้ ได้แผ่ปกคลุมไปถึงสนามลาวา และในอีกหลายพื่นที่ สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นป่าที่เต็มไปด้วยต้นเบิร์ชพื้นเมืองและต้นสนที่เป็นพืชนำเข้า.

แต่อย่างไรก็ตามถึงจะไม่มีเหตุการณ์การระเบิดของภูเขาไฟแล้ว แต่ยังคงมีแผ่นดินไหวอยู่เสมอ ซึ่งเป็นผลให้แผ่นเปลือกโลกบริเวณนั้นแยกออกจากกันเฉลี่ย 2.5 เซนติเมตร (ประมาณ 2 นิ้ว )ในทุกๆปี  แม้หุบเขาจะค่อยๆห่างออกจากกันเพราะเหตุการณ์แผ่นดินไหว แต่ช่องว่างเหล่านี้ก็จะถูกเติมเต็มด้วยน้ำจืด ที่ไหลจากมาจากธารน้ำแข็งกลาเซีย ลางโจกุล (Langjökulll) และไหลมาทางใต้ดินผ่านช่องว่างของหินลาวาไปยังทะเลสาบซิงเควลลาวัทน์.

ธิงเวลลีย์ในช่วงฤดูใบไม่ร่วง.

และดูเหมือนว่าน้ำเหล่านี้ได้ผ่านกระบวนการการกรองมาเป็นอย่างดีจากการไหลผ่านหลายพื่นที่ทำให้น้ำที่พุ่งขึ้นมาระหว่างรอยแยกเหล่านี้ ปราศจากตะกอนและใสราวกับคริสตัน แถมยังสามารถมองผ่านได้ลึกลงไปเกินกว่า 100 เมตร (328 ฟุต)อีกด้วย  ซึ่งนอกจากการเดินชมบรรยากาศรอบๆที่สวยงามแล้ว นักท่องเที่ยวยังจะมีโอกาสที่จะได้ดำน้ำลึก (diving) หรือ ดำน้ำตื้น (snorkeling) ได้อีกด้วย.

แม้จะดูเหมือนว่าภูมิอากาศของประเทศนี้จะไม่มีผลกับกิจกรรมดำน้ำ แต่ชุดดำน้ำแบบ ดรายสูท (dry suit ) ก็มีความจำเป็นสำหรับอุณหภูมิของน้ำที่ มีความเย็นถึง 2 องศาเซลเซียส (35.6 องศาฟาเรนไฮ) แม้แต่ในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูหนาว และเนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวนี้เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยว ไกด์จึงต้องมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสามารถนำกรุ๊ปทัวร์เข้าไปชมในช่องแคบซิลฟ่า (Silfa) ที่สวยงามเหล่านี้ได้.

ช่องแคบซิลฟราเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งชาติ.

ถ่ายโดย  ดำน้ำซิลฟรา และอุโมงลาวา

ผู้ที่มีอายุมากกว่า 16 ปีและว่ายน้ำได้เท่านั้น ถึงจะได้รับอนุญาตให้ดำน้ำตื้นที่ ซิลฟรา และต้องใช้ดรายสูทแบบลอยน้ำแทนเสื้อชูชีพได้ ที่ซิลฟรานี้จะต้องมีผู้ดูแล และพร้อมที่จะช่วยเหลือนักดำน้ำตลอดเส้นทาง สำหรับการดำน้ำลึกที่นี่ นักดำน้ำจะต้องมีใบอนุญาตดำน้ำจาก PADI (PADI Open Water Scuba Diver) และมีประสบการณ์ในการใส่ชุดดรายสูทด้วย.

โลกใต้น้ำที่นี่มีความสวยงามอย่างน่ามหัศจรรย์ ประกอบกับบริษัททัวร์มักจะพานักท่องเที่ยวไปยังจุดที่มีการแยกของแผ่นเปลือกโลก นั่นทำให้เป็นการดำน้ำที่น่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น.



ซิลฟรา มักจะถูกเลือกให้เป็น หนึ่งในสิบจุดดำน้ำที่ดีที่สุดในโลก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย เพราะที่นี่เคยมีทั้งเหตุการณ์บาดเจ็บ และเสียชีวิตใต้น้ำ ฉะนั้นคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอและมีความมั่นใจเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ดำน้ำที่นี่ อีกทั้งต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง และต้องสามารถทนต่อสภาวะกดดันได้ดีอีกด้วย.

แต่ถ้าคุณมีต้องการที่จะได้เห็นการแยกตัวของแผ่นเปลือกโลกแต่ไม่ต้องการที่จะดำน้ำ เพียงคุณเดินไปยังจุดที่เรียกว่า อัลมานายอง จอร์เก (Almannagjá gorge) เท่านั้นคุณจะได้พบกับการชนกันของแผ่นเปลือกโลกของอเมริกาเหนือ ที่ทำให้เกิดหุบเขาแห่งนี้ที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจ หุบเขาเหล่านี้เป็นหลักฐานทางการเกิดกระบวนการทางธรณีวิทยา และเป็นเส้นทางไปสู่น้ำตกอ๊อกซาร่าฟอสส์ (Öxarárfoss) ที่สวยงาม

และถ้าใครเป็นแฟนของ ซีรี่ย์เรื่อง มหาศึกชิงบัลลังค์ (Game of Thrones) ทางช่อง HBO และได้มาเยี่ยมชมที่นี่ ก็อาจจะคุ้นตากับภาพที่ได้เห็น สถานที่นี้ได้ถูกใช้ถ่ายทำเป็นฉากที่ เป็นเส้นทางไปสู่ อีรี่ (Eyrie) และ เป็นทางที่ อาย่า สตาร์ค (Arya Stark) และ ซานดอร์ คลีแกน (Sandor Clegane) ใช้ในการเดินทางไปสู่ ริเวอร์แลนด์อีกด้วย

อ๊อกซาร่าฟอสส์ที่ส่องสว่างในช่วงค่ำคืน.

สถานที่นี้เป็นจุดที่มีความมหัศจรรย์และมีสภาพทางธรณีวิทยาที่น่าสนใจ จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าทำไมองค์กรยูเนสโก้ถึงแต่งตั้งให้ธิงเวลลีย์เป็นมรดกโลก  และอีกเหตุผลนึงก็คือพื้นที่ธิงเวลลีย์นี้ได้เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์พร้อมทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของประชากรในประเทศไอซ์แลนด์ด้วย

ชนพื้นเมืองกลุ่มแรกได้เดินทางมายังประเทศไอซ์แลนด์ ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 800 ชนอพยพกลุ่มใหญ่เหล่านี้คือพวกที่ไม่ยอมรับกษัตริย์องค์ใหม่ของประเทศนอร์เวย์ และในปีคริตศักราชที่ 930 พวกเค้าได้ตัดสินใจที่จะก่อตั้งรัฐบาลขึ้นเพื่อ รัฐบาลนี้จะสามารถระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นบนเกาะได้ โดยในทุกๆกลุ่มคนสามสิบคน หรือจากกหลายๆกลุ่มจะเลือกตัวแทนออกมา พวกเค้าได้ก่อตั้งพื้นที่สำหรับการประชุมตัวแทน ซึ่งเรียกว่า “ทุ่งหญ้าแห่งรัฐสภา” ซึ่งเป็นความหมายของคำว่าธิงเวลลีย์นี่เอง.

ตรงใกล้ทางเข้าช่องแคบซิลฟรา นักท่องเที่ยวสามารถมองลงไปในน้ำที่ใสราวคริสตัน.

รัฐสภาแห่งแรกประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และได้ปฏิบัติต่อๆกันมานับสิบๆปีจนกลายเป็นประเพณี รัฐสภานี้มีความมั่นคงมาก แม้แต่ในปีคริสตศักราช 1262 ที่เครือจักรภพไอซ์แลนด์ได้ถูกยึดโดยชาวนอร์เวย์ แต่หลังจากนั้นรัฐสภาแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนมาอยู่ในการปกครองของกษัตริย์แห่งเดนมาร์คในปีคริสตศักราช 1380.

อันที่จริงแล้วตั้งแต่รัฐสภาได้ถูกก่อตั้งมามากกว่าพันปีแล้ว เพียงแต่ยังคงถูกเก็บเป็นความลับไว้ตั้งแต่ในปีคริสตศักราช1799 ถึง 1844 จากนั้น รัฐสภาก็ถูกย้ายไปที่ ธิงเวลลีย์ แต่ก็ยังคงวัตถุประสงค์แบบเดิมไว้.

อาคารรัฐสภาในเมืองเรคยาวิก.อ้างองรูปจาก Wikimedia, creative commons, รูปโดย Zenneke

จากประวัติศาสตร์นี้ทำให้ ไอซ์แลนด์อัลทิงกิ (Icelandic Alþingi) หรือ รัฐสภาไอซ์แลนด์ ถือเป็นรัฐสภาที่เก่าแก่ที่สุด พร้อมทั้งยังเป็นตัวแทนรัฐสภาของทั้งโลกอีกด้วย  ในขณะที่ชาวคริสเตียนในยุโรปยังคงใช้ระบบศักดินา ที่ปราศจากกระบวนการแห่งประชาธปไตยโดยสิ้นเชิง แต่ในขณะที่แม้แต่คนนอกศาสนาในประเทศไอซ์แลนด์ก็ยังมีสิทธิในการส่งตัวแทนเข้ามามีส่วนร่วมในระบบรัฐสภา ซึ่งต่อมากลายเป็นต้นแบบให้หลายๆประเทศทำตาม,

ทั้งหมดเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ ธิงเวลลีย์ ถูกตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติในปีคริสตศักราช 1930 และ 1000 ปีหลังนั้นรัฐสภาแห่งแรกก็ได้ถูกค้นพบขึ้น อุทยานแห่งชาตินี้จึงได้รับการยกย่องจาก องค์กร ยูเนสโก ให้เป็นมรดกโลก ในปีคริสตศักราช 2004,

เนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่ ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไอซ์แลนด์มานับหลายศตวรรษ และ ณ ธิงเวลลีย์แห่งนี้ยังมีหลักฐานที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของหลายๆเหตุการณ์ เช่น ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ประเทศไอซ์แลนด์ได้เปลี่ยนตัวเองให้เป็นประเทศคริสเตียนเมื่อปีคริตศักราชที่ 1000 เนื่องจากเกิดความกลัวที่จะเกิดความรุนแรงหลังจากการขู่ของกษัตริย์โอลาฟ ที่1 (King Olaf I)แห่งราชวงศ์นอร์เวย์ นอกจากนั้นที่นี่ยังคงเป็นสถานที่ที่ถูกเชื่อว่าเอาไว้ใช้ฝึกหัดแม่มดมือใหม่เป็นจำนวนมาก และจากนั้นยังคงมีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของไอซ์แลนด์ที่น่าทึ่งเกิดขึ้นนี่ธิงเวลลีย์แห่งนี้อีกมากมาย

แม้ว่ารัฐสภาได้ถูกย้ายไปที่เรคยาวิค พื้นที่นี้ยังคงมีความทรงจำที่มีค่าหลายอย่างต่อชาวไอซ์แลนด์ ดังนั้นที่นี่จึงได้ถูกเลือกให้เป็นที่ประกาศและฉลองอิสรภาพจากประเทศเดนมาร์คในปีคริตศักราชที่ 1944 หลังจากนาซีได้บุกเข้ามาและฝ่ายพัธมิตรได้เข้ามายึดครองประเทศไอซ์แลนด์ โดยยืนยันได้จากการที่มีการแต่งตั้งประธานาธิบดีคนแรก ซึ่งได้แก่ นายสเวน ปีเยิร์นสซอน ( Sveinn Björnsson ) ที่นี่ ในวันสำคัญเดียวกันนี้ด้วย

จากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่เกิดขึ้นในธิงเวลลีย์  รวมทั้งความสวยงามและสภาพทางธรณีวิทยาของทีนี่ ก็ชัดเจนแล้วว่า ทำไมที่นี่ถึงเป็นอุทยานแห่งชาติที่เป็นที่นิยมกันในหมู่นักท่องเที่ยว แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีสถานที่อีกแห่ง ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 ที่ถูกรวมอยู่ใน วงกลมทองคำนี้.

ทุ่งน้ำพุร้อนไกเซอร์

ไกเซอร์สโทรคูร์ปะทุขึ้นท่ามกลางแสงพระอาทิตย์ขึ้น.

จุดแวะที่สองในเส้นทางวงกลมทองคำ คือ ทุ่งน้ำพุร้อนไกเซอร์ (Geysir Geothermal Area) ซึ่งตั้งอยู่ภายในหุบเขา เฮยคาดาลูร์ (Haukadalur) ใช้เวลาขับรถประมาณ 50 นาทีจากธิงเวลลีย์ และที่นี่ยังสามารถพบเห็นการปะทุของภูเขาไฟที่รุนแรงที่มีมากขึ้นเรื่อย ตลอดเส้นทางนี้อีกด้วย.

บนเส้นทางนี้จะมีไอน้ำและปล่องภูเขาไฟให้เห็นอยู่เรื่อยๆ และเพิ่มมากขึ้นเมื่อเดินทางเข้าใกล้หมู่บ้านเลยการ์วาท์น (Laugarvatn)ที่ตั้งอยู่ระหว่างทางที่มาจากจากธิงเวลลีย์ ไปยังน้ำพุร้อนไกเซอร์ ที่หมู่บ้านนี้มีบริการสปาที่ได้รับความร้อนมาจากน้ำใต้ผิวดิน หรือแม้แต่ห้องอบไอน้ำยังตั้งอยู่บนบ่อน้ำเดือด ซึ่งมีความร้อนถึง 60 องศาเซลเซียส ( 140 องศาฟาเรนไฮ )

สโทรคูร์ที่เกิดการปะทุในบริเวณวงกลมทองคำ.

ที่หุบเขาเฮยคาดาลูร์ (Haukadalur) เราสามารถพบเห็นการปะทุที่มีความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา และยังสามารถมองเห็นน้ำพุร้อนพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินแม้จะอยู่ห่างไปหลายไมลล์ พื้นที่บริเวณนี้มีลักษณะ เหมือนเป็นจุดๆ ซึ่งเต็มไปด้วยบ่อน้ำร้อน หม้อดิน ก๊าซพุ และเนินเขา ดินบริเวณนี้มีสีสันที่น่าตื่นตาเกิดจากแร่ธาตุต่างบนโลกใบนี้ บริเวณนี้ถือเป็นสถานที่ที่น่าหลงไหลถึงแม้จะไม่มีไกเซอร์ ที่มีชื่อเสียงทั้งสองจุดนั้น.

ขณะที่ไกเซอร์ที่อยู่ตรงด้านหน้าสงบนิ่ง สโทรคูร์ที่อยู่ด้านหลังเกิดการปะทุทุกๆสิบนาทีหรืออาจมากกว่านั้น.

ไกเซอร์ที่นี่ ถือว่าเป็นไกเซอร์จุดแรก และเป็นจุดที่ทำให้ที่นี่ถูกเรียกว่า เดอะเกรทไกเซอร์  เพราะไกเซอร์นี้ เป็นที่ที่ถูกบรรจุอยู่ในงานเขียนของชาวยุโรป และได้ชื่อของมันมาจาก ภาษานอซ (Norse) ที่แปลว่า “พรั่งพรู” หรือ ไกซา (Geysa)  ไกเซอร์ที่นี่มักไม่ค่อยเกิดการปะทุ แตกต่างจากไกเซอร์อีกจุดหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงที่มีชื่อว่าสโทรคูร์ (Strokkur) ที่มักจะเกิดการปะทุทุกๆ 10 นาทีหรือมากกว่านั้น อีกทั้งยังมีน้ำพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ ตั้งแต่ 20 - 40 เมตร ( 66 - 132 ฟุต )อีกด้วย.

เหตุผลที่ไกเซอร์จุดแรกไม่ค่อยเกิดการปะทุในปัจจุบันเป็นเพราะมีการก่อสร้างเกิดขึ้นในบริเวณนั้น มันคือการแทรกแซงธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์ จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าไกเซอร์เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นเป็นวัฏจักร ซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ซึ่งจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดกระบวนการการปะทุเริ่มต้น และจากนั้นมันจะค่อยๆน้อยลง. 

ถึงแม้จะไม่สามารถคาดเดาเวลาที่มันจะเกิดการปะทุได้ เช่น ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1910 ได้เกิดการปะทุขึ้นทุกๆครึ่งชั่วโมง และมันแทบจะไม่ปะทุเลยในปีคริตศักราชที่ 1916. 

สโทรคูร์ ตามที่เห็นในภาพที่กำลังจะปะทุเป็นที่รู้กันว่าสามารถปะทุน้ำขึ้นไปได้สูงถึง 40 เมตร ( 131ฟุต ).

ยากที่จะเชื่อว่า  การปะทุของแลนด์มาร์คที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศนี้จะเกิดขึ้นแบบไม่แน่นอน ในปีคริตศักราชที่ 1935 ชาวไอซ์แลนด์ได้ขุดร่องน้ำผ่านเข้าไปที่ขอบซิลิกาตรงที่เป็นช่องทางออกของไกเซอร์เพื่อที่จะลดระดับน้ำ และให้ไกเซอร์เกิดการปะทุขึ้น แต่มันก็เป็นผลแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพราะคลองนี้ได้เริ่มเกิดการอุดตัน การปะทุเลยหยุดลงอีกครั้ง.

ในปีคริสตศักราช 1981 ร่องน้ำนี้ได้ถูกกำจัดไป และได้มีการค้นพบว่าไกเซอร์ สามารถถูกกระตุ้นให้ปะทุขึ้นได้โดยการทำให้เกิดฟอง แต่ก็มีความกังวลเกิดขึ้นในแง่ของผลกระทบที่จะเกิดกับสิ่งแวดล้อมจากการกระทำนี้ ดังนั้นการกระทำนี้จึงต้องหยุดไป ในช่วงทศวรรษที่ 1990.

แม้ไกเซอร์ไม่มีการปะทุเกิดขึ้นบ่อยครั้งตั้งแต่นั้น แต่การปะทุเกิดอาจเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราวนั่นหมายถึงถ้าคุณโชคดีก็จะได้เห็นมัน ตอนที่มันเกิดการปะทุขึ้น ที่นี่จะดูยิ่งใหญ่กว่าที่ สโทรคูร์มาก ในปีคริสตศักราช 2000 ไกเซอร์ได้เกิดการปะทุขึ้นและน้ำได้พุ่งขึ้นไปมีความสูงถึง 122 เมตร (400 ฟุต) และในปีคริสตศักราช 1845เคยได้ถูกบันทึกว่าน้ำจาก ไกเซอร์พุ่งขึ้นได้สูงถึง 170 เมตร (558 ฟุต).

.บริเวณทุ่งน้ำพุร้อนไกเซอร์ในเส้นทางวงกลมทองคำ.

ไกเซอร์เป็นเหตุการณ์ทางธรรมชาติที่หาดูได้ยาก และนี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ วงกลมทองทองคำดูน่ามหัศจรรย์ และไม่มีที่ไหนเหมือน สาเหตุที่ทำให้เหตุการณ์ทางธรรมชาตินี้หาดูได้ยากเพราะการที่ไกเซอร์จะเกิดขึ้นจะต้องมีเงื่อนไขหลายๆอย่างมาประกอบกันและสำหรับที่นี่ก็เช่นกันจะต้องมีเงื่อนไขต่างๆประกอบกัน ดังนี้:

  • อย่างแรกจะต้องมีความร้อนสูงมากๆ เพราะการปะทุของไกเซอร์ จะเกิดขึ้นจะต้องมีแมกมาไหลขึ้นมาอยู่ใกล้ผิวดินและร้อนมากพอที่จะทำให้ก้อนหินเกิดความร้อนพอที่จะทำให้น้ำเดือด.

  • และน้ำจะต้องมีการเคลื่อนไหว จึงต้ององมีสิ่งที่ทำให้น้ำใต้ดินเกิดการเคลื่อนที่ ในกรณีนี้ น้ำที่ไหลมาจากธารน้ำแข็งจาก ลางโจกุล ได้ไหลไปเจอกับหินลาวาที่มีรูพรุนในบริเวณนี้.

  • สุดท้ายจะต้องมีการเชื่อมต่อกัน จะต้องมีมวลน้ำใต้ดินและต้องมีทางให้ไหลออก แผ่นดินบริเวณนี้มีส่วนผสมของซิลิกา ซึ่งทำให้น้ำไม่สามารถซึมออกมาได้ จึงทำให้มวลน้ำก้อนนี้ดันขึ้นมาทางขึ้นมาทางผิวดิน และกลายเป็นไกเซอร์นั่นเอง.

ที่หุบเขาเฮยคาดาลูร์มีครบทุกเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดรูปแบบไกเซอร์.

อ้างอิงรูปภาพจาก  maxpixel.freegreatpicture.com

การได้เดินชมรอบๆทุ่งน้ำพุร้อนไกเซอร์ที่สวยงามถือเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า และมันจะคุ้มค่ามากที่สุดในตอนที่มีโอกาสได้เห็นการพุ่งตัวของน้ำพุร้อนที่ปะทุออกมาจากพื้นดิน ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตั้งอยู่ในฝั่งตรงข้ามของไกเซอร์ ทีนี่มีบริการร้านขายของ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานฝีมือจากคนในท้องถิ่นและยังมีบริการร้านอาหาร ที่เสริฟอาหารไอซ์แลนด์ที่ปรุงมาจากเครื่องเทศพื้นเมืองอีกด้วย.

ทุ่งน้ำพุร้อนเฮยคาดาลูร์ เป็นจุดแวะอีกจุดที่น่ามหัศจรรย์เกิดจากความน่าเหลือเชื่อของธรรมชาติ ที่นี่คุณจะต้องแสดงความเคารพกับสถานที่ด้วย โดยการไม่โยนอะไรลงไปในน้ำพุร้อน สิ่งนี้ควรทำโดยที่ไม่ต้องมีใครบอก เพราะเแต่ตั้งแต่นักศิลปะได้เทสีลงไป ในสโทรคูร์ (Strokkur) ซึ่งโชคดีที่เป็นสีที่เป็นส่วนผสมของธรรมชาติเพียงเพราะอยากจะเห็นมันตอนเป็นสีชมพู และนั่นสิ่งเตือนใจที่มีค่ามาก.

ธรรมชาติของประเทศไอซ์แลนด์ที่ทำให้เราเพลิดเพลิน ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถมาเปลี่ยนเป็นงานศิลปะได้.



น้ำตกกุลล์ฟอสส์   

สถานที่ที่สามนี้เป็นจุดแวะจุดสุดท้ายของเส้นทางวงกลมทองคำ ที่นี่เป็นน้ำตกที่งดงามที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ ที่ชื่อว่ากุลล์ฟอสส์(Gullfoss) น้ำตกนี้ห่างจากไกเซอร์ ไม่เกิน 10 นาที น้ำที่นี่ตกลงไปยังหุบเขาโบราณทั้ง 2 ด้าน มีความสูง 32 เมตร (105 ฟุต) และมีความแรงสูงสุดในช่วงหน้าร้อน อยู่ที่ประมาณ 140 ลูกบาศก์เมตร ( 4944 ลูกบาศก์ฟุต) ต่อวินาที.

 

น้ำตกกุลล์ฟอสส์เป็นหนึ่งในธรรมชาติที่สวยที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์และมีพลังงานที่ยิ่งใหญ่.

น้ำตกกุลล์ฟอสส์ไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักกันในเรื่องความงดงามตระการตาแล้ว ที่นี่ยังปรากฏให้เห็นสายรุ้งที่เกิดจากแสงอาทิตย์ที่กระทบโดนละอองน้ำ แค่เพียงเท่านี้ก็เป็นภาพที่งดงามมากแล้ว ไม่มีอะไรจะสวยงามไปกว่าทัศนียภาพของหุบเขาที่มีน้ำตกและถ้ามองข้ามไปจะเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว ซึ่งมีธารน้ำแข็งในลางโจกุล(Langjökull) อยู่เหนือขึ้นไปอีกชั้น ดูเหมือนกับว่าน้ำตกในธิงเวลล์ลีย์ น้ำพุร้อนบริเวณทุ่งน้ำพุร้อนไกเซอร์ และน้ำจากแม่น้ำที่ไหลตกลงไปที่หุบเขากุลล์ฟอสส์นี้ มาจากธารน้ำแข็งเดียวกัน.

แม่น้ำแห่งนี้ชื่อว่าฮวิทเอา (Hvíta) ซึ่งถ้าจะพูดกันถึงในเรื่องการล่องแพ ที่นี่นับเป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดในการล่องแพในภาคตะวันตกเฉียงใต้อีกด้วย แม้การล่องแพที่นี่เหมาะสำหรับนักล่องแพมือใหม่ แต่ก็ยังดูท้าทายสำหรับคนที่ชำนาญแล้ว การล่องแพถือเป็นอีกหนึ่งการผจญภัยที่ต้องใช้พละกำลังค่อนข้างมาก การล่องแพนี้ จะล่องไปตามน้ำลงไปยังหุบเขาโบราณที่ถูกแต่งแต้มด้วยภูมิประเทศที่น่าหลงไหล และสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่กลัวที่จะเปียก หรืออยากที่ออกกำลังกาย การล่องแพถือเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจเลยทีเดียว.

โปรแกรมนี้จะมีแค่ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งช่วงฤดูร้อนนี้ยังเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการเที่ยวที่นี่ เพราะในช่วงหน้าร้อนจะเป็นช่วงที่ไม่มีน้ำแข็งอยู่ตามทางเดินที่จะตรงไปยังริมน้ำตก ทำให้สามารถเดินเข้าไปได้ใกล้น้ำตกได้มากจนคุณรู้สึกได้ถึงละอองน้ำ แถมยังเหมาะกับการถ่ายรูป และมั่นใจได้เลยว่ารูปที่ได้จะต้องน่าประทับใจที่สุด บางครั้งยังมีนักท่องเที่ยวบางคนสามารถใช้เวลาหลายชั่วโมงที่นี่แค่เพียงการยืนชมน้ำตกที่น่ามหัศจรรย์นี้เท่านั้น.

สายรุ้งที่เกิดขึ้นจากละอองน้ำในน้ำตกกุลล์ฟอสส์ในวันที่พระอาทิตย์สดใสทำให้เกิดภาพที่สวยงาม.

แต่ถึงน้ำตกกุลล์ฟอสส์จะดูสวยน้อยกว่าในช่วงฤดูหนาว เพราะคุณจะไม่สามารถเข้าใกล้น้ำตกได้มากเท่าที่ควร แต่การที่ได้เห็นบางส่วนของน้ำตกที่กลายเป็นน้ำแข็ง เหมือนกับน้ำแข็งไหลหลงไปในเหว ก็เป็นภาพที่ชวนหลงไหลไปอีกแบบ แต่ต้องมั่นใจว่าคุณใส่เสื้อกันหนาวที่อุ่นเพียงพอเพราะคุณคงไม่อยากให้ลมที่หอบความหนาวเย็นที่พัดผ่านธารน้ำแข็งมาทำลายการชมทัศนียภาพของคุณแน่นนอน.

ปัจจุบันนี้น้ำตกกุลล์ฟอสส์กลายเป็นที่สนใจจากคนทั่วโลก รวมทั้งในธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไอซ์แลนด์อาจจะไม่เหมือนเดิมถ้าไม่สามารถเยี่ยมชมที่นี่ได้ มันโชคดีอย่างเหลือเชื่อ ที่ยังมีบางคนที่มีแนวคิดในการอนุรักษ์ที่นี่อยู่ และที่นี่จะไม่สามารถถูกแทรกแซงไม่ว่าจากใครก็ตาม แต่หลังจากนี้ การคงความเป็นธรรมชาติให้กับที่นี่อาจจะไม่มีใครสนใจอีกต่อไป.

เพราะในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ได้มีนักลงทุนชาวต่างชาติได้ค้นพบวิธีใช้ประโยชน์จากน้ำตกกุลล์ฟอสส์เพื่อผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า ผู้ที่เป็นเจ้าของน้ำตกในตอนนั้นคือ นายโทมัส โทมัสสัน (Tómas Tómasson) ได้อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาทำประโยชน์ในแบบลับๆที่นี่  ถึงแผนการนี้ได้ถูกเริ่มต้นแล้ว แต่ก็ไม่อาจเป็นไปตามความต้องการของเขาเพราะยากที่บังคับให้ลูกสาวของโทมัสเห็นด้วย.

ซิกริเดอร์ โธมัสดอททิร์เป็นหนึ่งในหญิงในประวิติศาสตร์ของไอซ์แลนด์ผู้ที่ยืนหยัดในความเชื่อของเธอและได้รับการจดจำให้เป็นฮีโร่.รูปภาพอ้างอิง: Luc Van Braekel

สัญลักษณ์รูปผู้หญิงนี้เธอชื่อว่า ซิกริเดอร์ (Sigríður) เธอต่อต้านเรื่องนี้และตั้งใจที่ปกป้องธรรมชาติที่เธอรักไว้ไม่ให้ถูกทำลาย เธอทำทุกสิ่งที่เธอจะสามารถทำได้ ถึงแม้เธอจะถูกขู่ว่าจะโยนเธอลงไปในน้ำตก เธอเดินไปและกลับจากเมืองเรคยาวิคเป็นระยะทางร่วม 200 กิโลเมตรบนทางอันธุรกันดาร เพื่อที่จะต่อต้านการรุกรานน้ำตกกุลล์ฟอสส์เป็นเวลาหลายครั้ง.

แม้ว่าสุดท้ายแล้วการกระทำของเธอจะไม่สามารถป้องกันน้ำตกไว้ได้แต่แผนการนี้ก็ได้ถูกนำเข้าไปในการประชุมนานาชาติ เผื่อเป็นการรั้งเวลาไว้ไม่ให้สามารถดำเนินการได้ ในที่สุดนักกฏหมายที่เธอได้นำมาเข้าร่วมการชุมนุมได้จัดการกับนักลงทุนที่ไม่มีเงินมาลงทุนในการลงทุนและการทำสัญญารายปี  นักกฏหมายคนนี้ก็คือนายสเวน บียอห์นสัน (Sveinn Björnsson) ชื่อของเขาอาจจะคุ้นหูเพราะเขาเป็นคนเดียวกันกับที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศไอซ์แลนด์.

น้ำตกกุลล์ฟอสส์ที่สวยงามไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนของปีหรือช่วงเวลาใดของวัน.

สัญญลักษณ์ ซิกริเดอร์ได้ถูกประดับไว้บนศิลาจารึกบนยอดของน้ำตกและเธอยังถูกยกย่องให้เป็นฮีโร่ที่พยายามอนุรักษ์น้ำตกนี้ไว้ แต่ก็น่าเสียดายผู้หญิงที่ไร้การศึกษาคนหนึ่งที่ต้องต่อสู้กับระบบทุนนิยมในสมัยนั้นเพื่อรักษาความงามทางธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตามซิกริเดอร์ก็ได้ช่วยปูทางให้กับเรื่องของสิทธิสตรีและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นในวัฒนธรรมของไอซ์แลนด์.

สุดยอดเส้นทางในการเยี่ยมชมวงกลมทองคำ   

สีสันของฤดูใบไม้ร่วงบนเส้นทางวงกลมทองคำ.

นื่องจากเส้นทางนี้เป็นที่นิยมที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ จึงมักจะมีเส้นทางใหม่ๆในวงกลมทองคำ เกิดขึ้น มากกว่าร้อยบริษัททัวร์ ที่รวมกิจกรรมหรือสถานที่พิเศษไว้กับเส้นทางวงกลมทองคำนี้ บางบริษัทยังสามารถจัดให้คุณได้เที่ยวที่นี่ในรูปแบบที่แปลกใหม่ เช่น ทางเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบิน หรือแม้แต่ภายใต้พระอาทิตย์เที่ยงคืน.

แน่นอนว่าคุณสามารถเช่ารถยนต์ เพื่อที่จะขับไปเที่ยวเองส่วนตัวได้ โดยไม่ต้องกังวลถึงเวลา หรือแม้แต่สมาชิกคนอื่นๆในกลุ่ม การเดินทางท่องเที่ยวด้วยวิธีนี้ทำให้สามารถแวะท่องเที่ยวจุดอื่นที่บางทีคนอื่นอาจจะไม่เคยรู้จัก ซึ่งแน่นอนเราจะแนะนำจุดท่องเที่ยวบริเวณนั้นให้คุณได้รู้จักมากขึ้น.

การเฝ้าชมแสงเหนือจาอาซิงเวลลีย์.

แต่สำหรับคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงจากความกดดันที่ต้องขับรถในประเทศไอซ์แลนด์ คุณสามารถเลือกที่จะหาไกด์นำเที่ยว ซึ่งมีให้คุณเลือกตามความพึงพอใจอยู่มากมาย และจะมีทั้งเส้นทางที่ไปแบบสบายๆหรืออาจต้องใช้ความสามรถ ในการนำคุณไปถึงทั้ง 3 สถานที่นั้น และหลังจากนั้นเราจะส่งคุณกลับไปยังที่พักของคุณได้เลย ในบางเส้นทางอาจจะต้องให้เวลามากขึ้น เพราะอาจจะต้องนำคุณไปยังจุดท่องเที่ยวที่สวยงามที่อื่นๆด้วย อย่างเช่น ทะเลสาบในปล่องภูเขาไฟที่สวยงามอย่างเคริด (Kerið) และ บลู ลากูน (Blue Lagoon).

ทะเลสาบอาร์ซิงวัลลาวาทน์เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์.

จากเมืองเรคยาวิค อาจใช้เวลาถึงประมาณ 6 ชั่วโมง ในการเที่ยวชมในเส้นทางวงกลมทองคำ ซึ่งรวมถึงการทำกิจกรรมเพิ่มเติมอีกมากมาย ที่มีไว้บริการเช่น การท่องเที่ยวเส้นทางวงกลมทองคำโดยใช้รถเลื่อนหิมะ โปรแกรมนี้พาคุณมุ่งไปยังสถานที่สำคัญทั้ง 3 จุด และหลังออกจากน้ำตกกุลล์ฟอสส์ คุณจะถูกพาขึ้นต่อไปยังธารน้ำแข็งลางโจกุล เพื่อพบกับความตื่นเต้นที่น่าประทับใจจากการขับเลื่อนหิมะผ่านธารน้ำแข็ง.

หรือคุณอาจจะสนใจกิจกรรมดำน้ำตื้นในธิงเวลลีย์ , ล่องแพที่แม่น้ำฮวิทเอา หรือ ผจญภัยถ้ำใน ลีอาเรนดิ (Leiðarendi) หรือกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย ไปพร้อมกับการท่องเที่ยวในเส้นทางวงกลมทองคำนี้ได้เช่นกัน.

รวมถึงอาจจะรวมการท่องเที่ยวบนเส้นทางนี้กับการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น คุณสามารถเพลิดเพลินกับการเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในระหว่างวัน แล้วแวะไปชิมอาหารพื้นเมืองไอซ์แลนด์ในตอนเย็น หรืออีกตัวเลือกหนึ่งคือ การจบวันอันสวยงามของคุณด้วยการไปเยี่ยมชมการผลิตไฟฟ้าในท้องถิ่น เพื่อที่จะได้เข้าใจว่า ชาวไอซ์แลนด์สามารถใช้พลังงานใต้ดินในการขับเคลื่อนประเทศ เพื่อประโยชน์ในทั้งทางด้านผลังงานและการผลิตอาหารได้อย่างไร.

เพิ่มเติมในทัวร์เส้นทางวงกลมทองคำของคุณด้วยการขึ้นขี่บนหลังม้า.

ที่นี่มีแม้แต่บริการแพคเกจท่องเที่ยวหลายวันรอบเส้นทางวงกลมทองคำ แบบใช้มัคคุเทศก์ส่วนตัวนำเที่ยวแบบหลายๆวัน โดยคนนำเที่ยวจะเป็นทั้งไกด์และคนขับรถให้ เช่นคุณอาจจะเลือกสนุกกับการไปเที่ยวชายฝั่งทางใต้กับไกด์เป็นระยะเวลาสามวัน ซึ่งโปรแกรมนี้จะพาคุณขึ้นไปยังเส้นทางธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน และถ้ำน้ำแข็ง (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ).

หรือถ้าคุณมีเวลาหลายสัปดาห์ในการท่องเที่ยว คุณสามารถเลือกที่จะเช่ารถขับเที่ยวเอง 14 วัน ซึ่งคุณไม่เพียงแต่จะได้เที่ยวไปในเส้นทางวงกลมทองคำ คุณยังสามารถไปเที่ยวชมสถานที่ที่มีชื่อเสียงอื่นๆของไอซ์แลนด์ได้อีกด้วย.

จุดแวะเที่ยวในเส้นทาง วงกลมทองคำ ที่ไม่ควรพลาด   

ในการท่องเที่ยวในประเทศไอซ์แลนด์ ไม่สำคัญว่าคุณจะมีเวลาแค่ไหน งบประมาณมากเท่าไหร่ หรือโปรแกรมเที่ยวของคุณเป็นอย่างไร มันมักจะไม่เคยพอเสมอสำหรับการมาเที่ยวที่วงกลมทองคำนี้ กับการขับรถสบายๆชมทิวทัศน์ที่มีความหลากหลายและน่ามหัศจรรย์ นี่จะเป็นประสบการณ์ที่สำคัญที่คุณจะได้รับจากการท่องเที่ยวในประเทศไอซ์แลนด์.

ถ้าคุณเลือกที่จะขับรถเอง ยังมีจุดแวะท่องเที่ยวรอให้คุณไปค้นพบความมหัศจรรย์อีกหลายแห่งโดยรอบ สถานที่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ดังนั้น คุณอาจจะรวมสถานที่เหล่านี้ไปในเส้นทางหลักของคุณได้ สถานที่ ที่จะพูดถึงต่อไปนี้เป็น 9 อันดับสุดยอดของสถานที่ที่คุณไม่ควรพลาด

 



1. บ่อน้ำพุร้อนฟอนทาน่า  

อ่างน้ำร้อมธรรมชาติฟอนทาน่า.

บ่อน้ำพุร้อนฟอนทาน่า (Fontana Geothermal Baths) เป็นชื่อของสปาในเมืองเลยการ์วาท์นที่เคยกล่าวถึงแล้วในตอนต้น บ่อน้ำพุร้อนตั้งอยู่บนเส้นทางที่จะมุ่งไปไกเซอร์จากอุทยานแห่งชาติธิงเวลลีย์ เมืองเลยการ์วาท์นเป็นหมูบ้านที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบกว้างที่งดงามมาก และมีชื่อเสียงในเรื่องของการเกิดการปะทุของไกเซอร์.

คนในท้องถิ่นได้เข้ามาให้บริการในพื้นที่นี้ตั้งแต่ปีคริสตศักราช 1929  ซึ่งบริการสปาในปัจจุบันเปิดมาตั้งแต่ปีคริสตศักราช 2011 ที่ฟอนทานาจะมีห้องอบไอน้ำให้บริการทั้งหมด 3 ห้อง โดยทั้งหมดจะตั้งอยู่บนบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ และมีบริการห้องซาวน่า 1 ห้องที่สร้างจากไม้พื้นเมือง และโอบล้อมไปด้วยบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติโดยรอบ พร้อมทั้งที่นี่ยังให้บริการสระว่ายน้ำแบบไม่ลึกมาก และมีอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ซึ่งเด็กๆจะได้สนุกสนานกันในระหว่างพวกผู้ใหญ่ก็ได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่.

บ่อน้ำพุร้อนฟอนทานาหันหน้าออกไปยังทะเลสาบ ที่คุณสามารถเดินออกไปสัมผัสกับน้ำอุ่นๆ ที่ขึ้นมาจากใต้ดินได้อย่างใกล้ชิด.

เด็กๆสามารถสนุกสนานได้ที่อ่างน้ำร้อนธรรมชาติฟอนทาน่า.

ถ้าคุณหยุดแวะที่นี่ จะต้องไม่พลาดที่จะชิม ขนมปังข้าวไรซ์ ซึ่งใช้เวลาปรุงถึง 24 ชั่วโมงในทรายร้อน หากคุณมีโอกาสได้ รับประทานขนมปังอบใหม่ๆนี้ อย่าลืมถามหาเนยที่เป็นของท้องถิ่น เพราะเมื่อทานคู่กันจะอร่อยมาก.

แต่ถ้าคุณไม่ได้ขับรถเที่ยวเอง คุณยังมีอีกทางเลือกหนึ่งที่จะได้สนุกสนานกับทั้งที่บ่อน้ำพุร้อนและวงกลมทองคำนี้ โดยโปรแกรมเที่ยวในเส้นทางวงกลมทองคำและอาบน้ำร้อนที่ฟอนทานาแบบวันเดียว

(รูปภาพโดย Fontana Geothermal Baths)

2. ปล่องภูเขาไฟเคริด  

ปากปล่องภูเขาไฟเคริดในกริมสเนส.รูปภาพโดย ท่องเที่ยวชทแสงเหนือ กับทัวร์วงกลมทองคำ แบบส่วนตัว

ถ้าคุณมีเวลาหลายวันก็ไม่ควรพลาดโปรแกรมเส้นทางวงกลมทองคำพร้อมกับแวะชมปล่องภูเขาไฟเคริด(Kerið)หรือหากคุณเลือกที่จะขับเที่ยวเองก็ไม่ควรพลาดสถานที่น่ามหัศจรรย์ทางธรรมชาตินี้เช่นกัน.

ปล่องภูเขาไฟนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ 6500 ปีก่อน ปากปล่องด้านบนมีลักษณะเป็นวงรี และมีทะเลสาบตรงด้านล่าง ก้อนหินที่อยู่ตรงรอบๆปากปล่องจะมีสีแดงเพลิงและส้ม และจะมีลายเส้นทั้งสีดำและเขียวอยู่รอบๆ สีของก้อนหินจะตัดกันอย่างสวยงามกับน้ำที่เป็นสีฟ้าใส จากลักษณะของปากปล่องซึ่งสามารถทำให้เกิดเสียงสะท้อน ทำให้เคริดเคยเป็นสถานที่จัดการแสดงคอนเสิร์ตในหลายๆโอกาสอีกด้วย.

สถานที่นี้อยู่ใกล้กับถนนหมายเลข 35 ใกล้ตัวเมืองของเซลล์ฟอสส์ และที่นี่ยังมีที่จอดรถเล็กๆไว้พร้อมให้บริการอีกด้วย.

การเข้าชมที่นี่คุณจะต้องเสียค่าธรรมเนียมนิดหน่อยเพียง 500 ISK ต่อท่านเท่านั้น.

3. ซีเครท ลากูนฟลูดิร์   

ทะเลสาบแห่งความลับในฟลูดิร์.

ซีเครท ลากูน หรือกัมลาเลยอิน (Gamla laugin) ที่แปลว่าสระน้ำเก่าแก่ ใน ฟลูดิร์ ที่นี่เป็นสถานที่ ที่เหมาะกับการพักผ่อนและชาร์จพลังงานของคุณมาก ที่นี่ถือเป็นสระว่ายน้ำที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีคริสตศักราชที่ 1981 อุณหภูมิน้ำของที่นี่จะอยู่ราวๆ 38-40 องศาเซลเซียส น้ำที่นี่ไหลมาจากแหล่งน้ำพุร้อนจากรอบๆบริเวณ และที่นี่ยังมีทางเดินรอบสระเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกับธรรมชาติและแหล่งน้ำพุร้อนที่สวยงามอีกด้วย.

ได้มีการจัดสอนว่ายน้ำขึ้นที่สระแห่งนี้ ในปี 1990 - 1974 และสุดท้ายก็ได้ถูกย้ายไปจัดที่สระแห่งใหม่อื่นๆที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศ ซึ่งปัจจุบันนี้ที่นี่ได้ถูกพัฒนาให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังได้มีกาปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ พร้อมทั้งมีบริการร้านกาแฟอีกด้วย สระแห่งนี้ได้ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2014 ที่นี่กลายเป็นที่รู้จักจากคนทั่วไปขึ้นเรื่อยๆ และกรุณาทำการจองล่วงหน้าเพื่อความสะดวกของท่าน .

ฟลูดิร์ ตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 30.

 

ถนนที่ไปยังทะเลสาบแห่งความลับในช่วงฤดูหนาวของไอซ์แลนด์.รูปภาพโดย: ูดอากาศไอซ์แลนด์

โปรแกรมที่ห้ามพลาดในช่วงฤดูหนาวคือ โปรแกรมการล่องเรือชมออโรร่า (Aurora) และ โปรแกรมการแช่น้ำท่ามกลางบรรยากาศพระอาทิตย์เที่ยงคืนในช่วงฤดูร้อน  อีกทั้งคุณยังสามารถเลือกจองโปรแกรม โยคะเพื่อการผ่อนคลายที่ทะเลสาบแห่งความลับแห่งนี้อีกด้วย.

สามารถหาข้อมูล เส้นทางรถในวงกลมทองคำและทะเลสาบเล้นลับ (Golden Circle and Secret Lagoon) ได้ที่นี่.

4. ขับรถเลื่อนหิมะบนธารน้ำแข็งลางโจกุล  

การขี่รถเลื่อนน้ำแข็งบนธารน้ำแข็งลางโจกุล.

โปรแกรมการนั่งเลื่อนหิมะไปบนธารน้ำแข็งลางโจกุล กิจกรรมนี้น่าจะที่กิจกรรมยอดฮิตที่สุดที่ถูกจัดรวมไว้กับการท่องเที่ยวในเส้นทางวงกลมทองคำแห่งนี้ ธารน้ำแข็งลางโจกุลอยู่ไม่ไกลจากน้ำตกกุลฟอสมากนัก แต่การขึ้นไปในช่วงฤดุหนาวจำเป็นต้องอาศัยรถซุปเปอร์จิ๊ป และใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อในช่วงฤดูร้อน.

คุณอาจจะเลือกจองโปรแกรมขับรถเลื่อนหิมะและไปยังวงกลมทองคำแบบเที่ยววันเดียวจากเมืองเรคยาวิค หรืออาจเช่ารถขับเที่ยวเองในเส้นทางวงกลมทองคำ และเลือกให้บริษัทไปรับคุณที่น้ำตกกุลฟอสแล้วกลับมาส่งคุณที่รถ หลังจากที่จบการผจญภัยกันบนลำธารน้ำแข็งโดยรถเลื่อนหิมะกันแล้ว ในวันที่ท้องฟ้าสดใสคุณจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สวยงามและแน่นอนว่ามันจะต้องเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น ซึ่งนักท่องเที่ยวทุกคนไม่ควรพลาดกิจกรรมนี้.

5. ฟาร์มม้าและมะเขือเทศฟริดเฮมาร์   

มะเขือเทศฟริดเฮมาร์ภายในฟาร์ม.รูปภาพโดย Friðheimar

ฟริดเฮมาร์ (Friðheimar) เป็นฟาร์มที่ปลูกทั้งมะเขือเทศ แตงกวา และ เลี้ยงม้า ตั้งอยู่ใกล้เมือง เรคคอร์ค (Reykholt) บนถนนสาย 35 ที่นี่เหมาะสำหรับหยุดพักรับประทานอาหารกลางวัน ในช่วงเวลา 12.00 - 16.00 และคุณไม่ควรพลาดการชิมซุปมะเขือเทศแสนอร่อยกับขนมปังอบใหม่ๆของที่นี่.

ถ้าคุณมากันเป็นกลุ่มเล็ก คุณอาจสามารถแวะเข้าไปเยี่ยมชมได้เลยโดยไม่ต้องจองล่วงหน้า แต่สำหรับกรุ๊ปทัวร์ใหญ่เราแนะนำว่าควรจะมีการจองล่วงหน้าเพื่อความสะดวกของคุณและคณะ และในกรณีที่คุณต้องการที่จะเที่ยวในฟาร์ม หรือต้องการชมการแสดงม้าด้วย กิจกรรมเหล่านี้ก็จำเป็นต้องจองล่วงหน้าเช่นกัน ถึงที่นี่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากนัก แต่มันคุ้มค่ามากถ้าได้ไปเยี่ยมชม.

6. ล่องแพในแม่น้ำฮวิทเอา  

การล่องแพไปตามหุบเขาฮวิทเอาที่สวยงาม.

อย่างที่เคยกล่าวไว้ข้างต้นน้ำตกกุลล์ฟอสส์จะไหลไปยังแม่น้ำฮวิทเอาซึ่งเป็นจุดที่ผู้คนนิยมที่ไปล่องแพกันโดยแพแบบเก่าแก่ที่สุดในไอซ์แลนด์ ที่เรียกว่า ดรัมโบ (Drumbó) ซึ่งเป็นคำสั้นๆมาจากคำว่า ดรัมบอดด์สทาดิร์ (Drumboddsstaðir) การล่องแพจะมีระยะทางไม่ไกลนักจากน้ำตกนัก และมีความยากอยู่ในระดับ 2 โปรแกรมนี้เหมาะทั้งสำหรับทั้งนักล่องแพมือใหม่และคนยังคงมีความท้าทายสำหรับคนที่ชำนาญแล้ว.

มีอีกหลายๆเหตุผลที่ทำให้โปรแกรมนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว เช่น การล่องแพที่สุดตื่นเต้นและทัศนียภาพที่น่าตื่นตา หรือถ้าคุณต้องการที่จะปลุกอะดรีนาลีนในตัวคุณ คุณจะต้องกล้าพอที่จะลองกระโดดลงไปที่แม่น้ำจากหน้าผาที่ความสูงถึง 8 เมตร.

อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับกิจกรรมที่นี่คือคุณสามารถเลือกกิจกรรมพายเรือคายัค แต่สำหรับกิจกรรมนี้จะต้องใช้ความชำนาญ เพราะค่อนข้างจะมีความท้าทายกว่า.

หลังจบการผจญภัยคุณสามารถผ่อนคลายด้วยการแช่บ่อน้ำร้อน หรือซาวน่า ก่อนรับประทานบาบีคิวที่บริการโดยไกด์ของคุณก่อนที่จะเริ่มการเดินทางต่อไป.

ดูเพิ่มเติมเกี่ยว โปรแกรมวงกลมทองคำและกิจกรรมล่องแพ ที่นี่

7. โซลเฮมาร์; หมู่บ้านสีเขียว   

9 สถานที่ยอดฮิตบนวงกลมทองคำ |ไอซ์แลนด์ รูปภาพโดย: มู่บ้านสีเขียว โซลเฮมาร์

 

โซลเฮมาร์ (Sólheimar) เป็นหมู่บ้านสีเขียว มีประชากรประมาณ 100 คน ถูกตั้งขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1930 หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบ และทุกคนในหมู่บ้านจะยึดถือปรัชญาเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุใด หรือ แม้แต่คนพิการ มากกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา เสน่ห์ของความมีเอกลักษณ์และบรรยากาศที่น่าหลงไหลได้ดึงดูดผู้คนให้มาเที่ยวที่นี่เพิ่มมากขึ้นทุกๆปี และปัจจุบันนี้มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมที่นี่มากกว่า 30,000 คนต่อปี.

ถึงผู้คนที่อยู่อาศัยที่นี่จะทำตัวให้เข้ากับธรรมชาติมากที่สุดแต่ที่นี่ก็มีทุกอย่างที่ไว้คอยบริการให้ผู้มาท่องเที่ยว เช่น ร้านขนมปัง ร้านกาแฟ ที่พัก และถนนสายศิลปะ ในหมู่บ้านมีการสอนทำศิลปะหลายอย่าง เช่น การทำเทียน ทอผ้า และเครื่องปั้นเซรามิค อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของเซลเซลลา(The Sesselja) ศูนย์ศึกษานิทรรศการที่มีจุดประสงค์เพื่อการพัฒนาและอนุรักษ์ระบบนิเวศ อย่างยั่งยืน.

จากธิงส์เวลลีย์และไกเซอร์ใช้เวลาเพียง 45 นาทีในการขับรถลงไปทางใต้ก็จะถึงโซลเฮมาร์แล้ว  โดยเส้นทางถนนสาย 365 และเลี้ยวขวาตรงวงเวียนในเลยการ์วาท์น เพื่อไปตามถนนสาย 37 จนสุดถนน แล้วเลี้ยวซ้ายไปบนถนนสาย 35 จากนั้นเลี้ยวขวาไปบนถนนสาย 354 คุณก็จะเจอหมู่บ้านแล้ว.

8. หุบเขา ธอซาลดาลูร์  

น้ำตกฮาลปาฟอสส์ในธอซาลดาลูร์.

ถ้าคุณต้องการที่จะเห็นธรรมชาติที่สวยงามดั่งอัญมณีและพร้อมจะขับรถต่อไปไกลอีกหน่อยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อไปให้ถึงหุบเขาธอซาลดาลูร์ (Þjórsárdalur) ที่นี่คุณจะพบกับน้ำตกที่อาจจะพูดได้เลยว่าสวยที่สุดที่คุณเคยไปเลยทีเดียว เช่น น้ำตกฮาลปาฟอสส์ (Hjálparfoss) น้ำตกเฮาอิฟอสส์ (Háifoss) น้ำตกกรานนิ (Granni) และ ธจอฟาฟอสส์( Þjófafoss).

คุณจะไปถึงที่นั่นได้โดยจะต้องขับรถไปทางใต้บนถนนหมายเลข 30 จากน้ำตกกุลล์ฟอสส์และเลี้ยวซ้ายไปยังถนนหมายเลข 32 ในตอนขากลับ คุณต้องใช้ถนนหมายเลข 32 แต่ถนนอาจจะขรุขระเล็กน้อย.

คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อัญมณีที่ซ่อนเร้นของชาวไอซ์แลนด์ที่นี่ และ คู่มือแนะนำการขับรถเที่ยวเองที่นี่.

9. สกาลล์ฮอล์ท  

โบสถ์สกาลล์คอร์คในประเทศไอซ์แลนด์.

(เครดิตรูปภาพโดย Safnabókin)

สกาลล์คอร์ค (Skálholt) เป็นเมืองที่มีความโดดเด่นทางประวัติศาสตร์อีกเมืองหนึ่งในประเทศไอซ์แลนด์ ที่นี่เป็นที่พักของหัวหน้าบาทหลวงองค์แรกของที่นี่ และเป็นที่ตั้งของโรงเรียนแห่งแรกในประเทศไอซ์แลนด์ด้วย สกาลล์คอร์ค ยังถูกตั้งให้เป็น ”ตัวเมือง” แห่งแรกของประเทศไอซ์แลนด์ตั้งแต่ปีคริสตศักราช 1200 เนื่องจากเมืองนี้มีประชากรมากที่สุดในประเทศ แม้จะมีเพียง 120 คน หากคุณมีโอกาสขับรถไปยังเมืองสกาลล์คอร์คนี้ ต้องอย่าพลาดที่จะเข้าไปเยี่ยมชมโบสถ์ของเมืองนี้ รับรองว่าจะเป็นการแวะชมที่คุ้มค่ามาก.

หากเลือกโปรแกรมท่องเที่ยวเส้นทางวงกลมทองคำแบบคลาสสิคของเรา คุณจะได้แวะเยี่ยมชมมืองสกาลล์คอร์ค นี้เช่นกัน.

 

บทความที่ได้รับความนิยม

บทความอื่นที่น่าสนใจ