แคมป์ปิ้งรอบไอซ์แลนด์

แคมป์ปิ้งรอบไอซ์แลนด์

Michael Chapman
โดย Michael Chapman
ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรอง

มีใครบ้างที่ไม่อยากมาแคมป์ปิ้งที่ไอซ์แลนด์

ไอซ์แลนด์เป็นจุดหมายปลายทางสุดชิลสำหรับการมาตั้งแคมป์พักแรมแบบยาวๆ ในช่วงวันหยุดพักผ่อน เนื่องจากมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมากมาย มีทิวทัศน์ที่สวยงาม และมีพระอาทิตย์ตอนเที่ยงคืนให้ชื่นชม และเพื่อความสะดวกสบายของนักท่องเที่ยวที่ต้องการเที่ยวสไตล์แอดเวนเจอร์และต้องการตัวเลือกที่หลากหลาย เราจึงรวบรวมแผนการเดินทางท่องเที่ยวแบบแคมป์ปิ้งจำนวน 15 วันแบบอัดแน่นมาไว้ให้ ณ ที่นี้แล้ว



เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน นักเขียนนิยายแฟนตาซีชื่อก้องโลกผู้หลงใหลในทุกอย่างเกี่ยบกับไอซ์แลนด์ ครั้งหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า “ผู้ท่องเที่ยวพเนจรไม่ใช่คนหลงทาง” ซึ่งเขาน่าจะหมายถึงตัวละครที่เขาเขียนขึ้นมาให้เป็นนักผจญภัยหัวรั้นผู้มีทักษะในการสำรวจดินแดนอันเวิ้งว้างอันห่างไกลและไร้ผู้คน

แต่ทว่า แม้ เทือกเขามิสตี้ (Misty Mountains) ที่ในไอซ์แลนด์จะบังเอิญสวยงามเหมือนเทือกเขามิสตี้แห่งมิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน ขอจงเชื่อเถิดว่าถ้านักเขียนท่านนี้ได้มาเห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ช่วงนี้หลั่งไหลเข้ามากางเต็นท์ในไอซ์แลนด์แบบไม่มีการเตรียมความพร้อมแล้วล่ะก็ โทลคีนจะไม่เขียนเช่นนั้นแน่นอน เพราะบางคนเขาก็หลงจริงๆ

ไอซ์แลนด์เป็นดินแดนแห่งภูเขาไฟบนพื้นที่ 40,000 ตารางไมล์ที่มีสภาพภูมิอากาศไม่แน่นอน และมีประชากรอาศัยอยู่จำนวนไม่มากนัก จนทำให้พื้นที่หลายแห่งแทบจะไม่มีผู้คนผ่านมาให้ความช่วยเหลือเลย ดังนั้นถ้าขาดการวางแผนล่วงหน้าที่ดีแล้ว โอกาสที่จะหลงทางเมื่อเดินทางท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์นั้นสูงมากๆ และเมื่อมีนักท่องเที่ยวหลงทางในไอซ์แลนด์ นอกจากจะเป็นอันตรายมากแล้วยังเสียเวลามากๆ ด้วย ซึ่งเสียเวลาทั้งผู้ที่หลงทางเองและเสียเวลาของทีมค้นหาด้วย

และผู้อ่านทุกท่านครับ นี่คือเหตุผลที่เราต้องจัดทำบทความเกี่ยวกับการขับรถเที่ยวเองและแคมป์ปิ้งทัวร์รอบไอซ์แลนด์จำนวน 15 วัน



มีสถานที่ตั้งแคมป์มากมายที่ไอซ์แลนด์ รวมถึงที่ธิงเวลลีร์ ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกยูเนสโกด้วย

ระยะเวลา 15 วันนั้นพอเสียยิ่งกว่าพอสำหรับการไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในไอซ์แลนด์ และแผนการเที่ยวของเราครอบคลุมสถานที่มหัศจรรย์หลายแห่ง ทั้งทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน (Jökulsárlón) เขตอนุรักษ์ธรรมชาติสกัฟตาเฟลล์ (Snæfellsjökull)  เสาหินบะซอลต์ที่หาดเรย์นิสฟยารา (Reynisfjara) ธารน้ำแข็งสไนเฟลล์โจกุล (Snæfellsjökull) ป่าสงวนแห่งชาติฮาลอร์มสตาร์ดาสโกการ์ (Hallormsstaðaskógur) น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) และอีกมากมาย

การเที่ยวแบบสมถะนั้นมีข้อดีหลายอย่าง เช่น มีอิสระเสรี บริหารเวลาได้เอง เป็นการสร้างสัมพันธ์กับคนในครอบครัว มีความสงบเงียบ และได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติของเกาะแห่งนี้อย่างแท้จริง

ไม่ว่าคุณจะเป็นแคมป์เปอร์สายไหนก็ตาม เรามั่นใจว่าทุกคนที่มาเที่ยวไอซ์แลนด์นั้นต่างอยากจะมาสัมผัสความเป็นธรรมชาติแบบชนบท อยากมาผจญภัยแบบสนุกๆ และอยากเข้าถึงความท้าทายที่ไม่เหมือนที่ใดในโลก



วันที่ 1: เดินทางมาถึงไอซ์แลนด์      

มีตัวเลือกยานพาหนะมากมายสำหรับผู้ที่จะมาตั้งแคมป์ภาพจาก รถสำหรับแคมป์ปิ้งและรถเช่า

เช่นเดียวกันนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาไอซ์แลนด์ คุณจะเข้ามาทางสนามบินนานาชาติเคฟลาวิก ซึ่งอยู่บนปลายคาบสมุทรเรคยาเนส (Reykjanes) ในทางทิศเหนือ ห่างจากเมืองหลวงประมาณ 50 กม. และรถเช่าจะจอดรอคุณอยู่ที่สนามบินอยู่แล้ว แต่การเลือกประเภทรถก็ส่งผลต่อการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นแนะนำว่าให้เลือกเช่ารถที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุด

ก่อนที่จะออกลุยบนท้องถนน คุณควรต้องทราบเกี่ยวกับการขับรถในไอซ์แลนด์อยู่บ้าง เช่น รถที่นี่ขับทางด้านขวาของถนน (เหมือนที่สหรัฐฯ และตรงข้ามกับที่อังกฤษ) และกฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องเปิดไฟหน้ารถไว้ตลอดเวลาที่รถวิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในฤดูใดหรือช่วงเวลาไหนของวันก็ตาม

ถนนในไอซ์แลนด์นั้นมักจะถูกยกให้สูงขึ้น เพื่อให้พ้นจากหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักในฤดูหนาว ซึ่งถนนแบบนี้อาจทำให้รถลื่นตกถนนได้ง่าย ดังนั้นควรเพิ่มความระมัดระวังและลดความเร็วลงเวลาเข้าโค้ง ขึ้นลงเนิน หรือเมื่อขับรถเข้าตามมุมอับบดบังทัศนวิสัย สำหรับการจำกัดความเร็วบนท้องถนนนั้นอยู่ที่ 50 กม./ชม. ในเขตเมือง 90 กม./ชม. สำหรับถนนราดยางมะตอยตามชนบท และ 80 กม./ชม. สำหรับถนนลูกรังตามชนบท

นอกจากนี้กฎหมายที่ไอซ์แลนด์นั้นห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้ขับรถออกนอกเส้นทางหรือนอกถนนเพราะเป็นการทำลายสมดุลของธรรมชาติอย่างร้ายแรง และการฝ่าฝืนกฎข้อนี้มีโทษปรับหนักมากและไม่มีการผ่อนปรนด้วย

เมื่อคุณพร้อมสำหรับทริปแคมป์ปิ้งแล้วก็ออกเดินทางกันเลย อีกไม่ช้าคุณจะพบว่าคาบสมุทรเรคยาเนส (Reykjanes) นั้นจะเป็นเหมือนออร์เดิร์ฟให้คุณได้ชิมลางสัมผัสว่าทริปแคมป์ปิ้งอีกหลายวันต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ถนนเรคยาเนสเบรยท์ (Reykjanesbraut) หรือถนนหมายเลข 41 เป็นถนนเส้นหลักที่ตัดผ่านตามความยาวของคาบสมุทร และจะมีถนนสายเล็กๆ ที่เป็นเส้นทางมุ่งหน้าสู่ชายฝั่งทางใต้ ถนนพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นถนนราดยาง แต่ก็ยังมีส่วนที่เป็นลูกรังหลงเหลืออยู่บ้าง

ตื่นมาก็เห็นวิวสวยๆ ของไอซ์แลนด์ภาพจาก  รถสำหรับแคมป์ปิ้งและรถเช่า

หลังวิ่งออกจากถนนเส้นหลักได้ประมาณ 10 นาที คุณจะพบกับทุ่งกำมะถันอันน่ามหัศจรรย์แห่งคริสุวิก (Krýsuvík) ซึ่งโอบล้อมไปด้วยภูเขาสีสันสว่างสดใสและมีทางเดินที่จะพาคุณไปดูช่องไอน้ำร้อนจากภูเขาไฟและน้ำพุร้อนใต้ดิน ทั่วบริเวณนี้จะมีป้ายให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทางธรณีวิทยาที่สำคัญๆ ของไอซ์แลนด์

ขับรถต่ออีกไม่ไกลคุณจะไปถึงผาคริสุวิกกูร์แบร์ (Krýsuvíkurberg) สถานที่สวยงามบนชายฝั่งทางใต้ซึ่งตั้งอยู่ที่ทะเลแอตแลนติกเหนือ ถ้าเดินไปตามทางเดินบนหน้าผาคุณจะได้เห็นวิวสวยสงบ และเห็นนกทะเลมากมาย เช่น นกคิตติเวก และนกปากแหลมมาทำรังอยู่

จากนั้นอีกหนึ่งสถานที่ที่คุณต้องไปคือทะเลสาบน้ำพุร้อนเคลฟาร์วาทน์ (Kleifarvatn) ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดบนคาบสมุทรเรคยาเนส ซึ่งถูกนำไปใช้ตั้งชื่อนิยายฆาตกรรมของอาร์นัลเดอร์ อินดริดาสัน (Arnaldur Indriðason) ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2004 ด้วย น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ลดลงหลังจากแผ่นดินไหวเมื่อตอนต้นสหัสวรรษ ทำให้ทะเลสาบมีขนาดเล็กลงถึง 20% และนอกจากความสวยงามที่เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ยังมีอุณหภูมิที่แตกต่างกันและมีน้ำพุร้อนใต้น้ำอยู่เป็นจำนวนมาก

มาทริปแคมป์ปิ้งที่ไอซ์แลนด์ต้องได้เห็นสถานที่สวยงาม ได้สนุกตื่นเต้นไปกับกิจกรรมต่างๆ และได้สัมผัสความแตกต่างที่มีอยู่มากมายทั่วประเทศภาพจาก  ดำน้ำสน็อกเกิลในทะเลสาบน้ำร้อนจากใต้พิภพในไอซ์แลนด์

จากนั้นคุณจะเดินทางไปบนทุ่งลาวาตะปุ่มตะป่ำเพื่อไปที่ประภาคารเรคยาเนสวิติ (Reykjanesviti) ประภาคารแห่งที่สองที่ถูกสร้างขึ้นในไอซ์แลนด์ (แห่งแรกถูกน้ำทะเลพัดจนเสียหายและถูกรื้อทิ้งไปเมื่อปี 1908) เนื่องจากแถวประภาคารเรคยาเนสวิติมีภูมิประเทศที่หลากหลาย ทั้งเกลียวคลื่นจากทะเลแอตแลนติกเหนือ ไอน้ำร้อนที่พวยพุ่งจากใต้ดิน และหินรูปร่างประหลาดบนชายฝั่ง ที่นี่จึงเป็นที่ชื่นชอบของทั้งนักท่องเที่ยวและชาวไอซ์แลนด์เองด้วย คุณเองก็ห้ามพลาดเป็นอันขาด

และแน่นอนว่าการขับรถเป็นเวลานานก็อาจจะน่าเบื่อ ถ้าเช่นนั้นเราขอแนะนำให้คุณพักจากพวงมาลัยรถแล้วไปถือสายบังเหียนเที่ยวชมธรรมชาติบนหลังม้าไอซ์แลนด์ ที่แม้จะเล็กแต่ก็เล็กพริกขี้หนูกันบ้าง

 การเที่ยวเองแบบแคมป์ปิ้งทำให้คุณมีโอกาสได้ทำกิจกรรมที่ชอบด้วย เช่น การขี่ม้าภาพจาก ทัวร์ขี่ม้าและเที่ยวถ้ำ

ม้าไอซ์แลนด์เป็นม้าพันธุ์แท้ที่สืบสายพันธุ์อยู่บนเกาะมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 แม้ว่าพวกมันจะมีขนาดตัวที่เล็กแต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นม้าที่ขี้เล่น ฉลาดแสนรู้และเป็นม้าที่อึดมาก ทุกวันนี้ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ห้ามไม่ให้มีการนำเข้าม้าสายพันธุ์อื่น และก็ไม่ให้มีการนำมาไอซ์แลนด์ออกนอกประเทศด้วยเช่นเดียวกัน

ทัวร์ขี่ม้าจะทำให้คุณรู้จักและได้เรียนรู้เกี่ยวกับม้าสายพันธุ์พิเศษนี้มากขึ้นและยังจะทำให้คุณเข้าถึงประสบการณ์แบบเดียวกับที่ผู้ที่เข้ามาตั้งรกรากที่นี่ในยุคแรกเคยสัมผัสด้วย

สำหรับคืนแรกนี้คุณสามารถเลือกตั้งแคมป์ได้ทั้งที่ซานแกร์ดี (Sandgerði) และที่กรินดาวิก (Grindavík)

วันที่ 2: วงกลมทองคำ       

ไอซ์แลนด์มีน้ำตก ภูเขา ทะเลสาบ แม่น้ำ และธารน้ำแข็งมากมาย

ได้เวลาออกเดินทางบนเส้นทางหมายเลข 1 หรือ ถนนวงแหวนทองคำ อันโด่งดังกันแล้ว เส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งนี้จะพาคุณวนรอบชายฝั่งของประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งตลอดเส้นทางจะมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ให้ได้แวะชมมากมาย

ถนนวงแหวนเป็นสิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาไอซ์แลนด์ และ ทัวร์วงกลมทองคำเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบมากที่สุด บนถนนยาว 300 กิโลเมตร (190 ไมล์) เส้นนี้ ที่แรกที่คุณจะได้ไปเยือนคือทุ่งน้ำพุร้อนเฮยคาดาลูร์ (Haukadalur) ซึ่งเป็นที่ตั้งของไกเซอร์ (Geysir) และสโทรคูร์ (Strokkur) น้ำพุร้อนจากพลังงานความร้อนใต้พิภพอันโด่งดังที่นักท่องเที่ยวชอบไปดูพลังของน้ำที่ถูกดันออกมาจากถ้ำใต้ดินและและพลังความร้อนที่ไอซ์แลนด์สะสมไว้ และจากนั้นคุณจะไปต่อกันที่น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) และอุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์ (Þingvellir National Park)

อุทยานฯ แห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ไฮไลต์ของไอซ์แลนด์ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ รวมถึงเป็นสถานที่เดียวในไอซ์แลนด์ที่ได้รับความคุ้มครองในฐานะที่เป็นมรดกโลกของยูเนสโกด้วย

มีสองเหตุผลที่ธิงเวลลีร์ได้รับเลือกให้เป็นแหล่งมรดกโลก เหตุผลแรกเป็นเพราะเมื่อก่อนธิงเวลลีร์เป็นสถานที่ตั้งของรัฐสภาเก่า หรืออัลทิงกิ (Alþingi) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 930 และถูกใช้งานเรื่อยมา จนกระทั่งปี 1884 รัฐสภาของไอซ์แลนด์จึงได้ถูกย้ายไปอยู่ในเรคยาวิกและใช้งานมาจนถึงปัจจุบันนี้

น้ำตกอ๊อกซาร่าฟอสส์ในอุทยานแห่งชาติธิงเวลลีร์

เหตุผลที่สองเป็นเพราะความงามและลักษณะที่ตั้งทางธรณีวิทยาของอุทยานฯ ธิงเวลลีร์ตั้งอยู่บนเทือกเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก (Mid-Atlantic Ridge) ที่มีลักษณะเป็นทุ่งแมกมาแห้งที่อยู่ตรงกลางระหว่างแผ่นเปลือกโลกของทวีปอเมริกาเหนือและแผ่นเปลือกโลกของทวีปยุโรปพอดี และแผ่นเปลือกโลกทั้งสองนี้แยกตัวออกจากกันเป็นระยะทางราว 3 กิโลเมตร ซึ่งในบริเวณมีทั้งหุบเขา รอยแยก และเหวลึกสลับกันไป หลายแห่งสามารถเข้าไปเดินชมได้ จึงทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไอซ์แลนด์ได้มากขึ้น

แต่ถ้าหากการเดินเท้ายังไม่ใช่วิธีสำรวจพื้นที่นี้ในแบบที่คุณต้องการ คุณยังมีอีกทางเลือกคือไปทัวร์ดำน้ำสน็อกเกิลและทัวร์ดำน้ำลึกที่รอยแยกซิลฟรา ซึ่งอยู่ห่างจากอัลทิงกิไปประมาณ 10 นาที วิธีนี้คุณจะได้ลงไปว่ายน้ำในรอยต่อระหว่างสองทวีปหรือจะเอามือไปสัมผัสรอยแยกก็ยังได้ และคุณยังได้เห็นน้ำจากธารน้ำแข็งซึ่งมีความใสราวกับคริสตัลด้วยตาตัวเอง

นักดำน้ำดำดิ่งลงไปในรอยแยกซิลฟราภาพจาก แพ็คเกจทัวร์ดำน้ำที่ซิลฟราและเที่ยวถ้ำลาวา

ในช่วงท้ายของวันที่ 2 คุณจะพักค้างคืนที่เมืองฟลูดิร์ (Flúðir) และสามารถเลือกได้ว่าจะไปพักที่จุดตั้งแคมป์เบรย์ทาร์ฮอล (Brautarhol) หรือที่สเกียล (Skjól) และแถวนี้ก็มีสระน้ำร้อนธรรมชาติที่คนมักเรียกว่า “แม่น้ำร้อน” ให้คุณได้ไปแช่น้ำผ่อนคลายยามเย็นด้วย แต่สระจะอยู่ลึกลับหน่อยและต้องเดินขึ้นเขาไป แนะนำให้คุณลองถามเส้นทางจากชาวบ้านแถวนั้นดู

ในอดีตสระน้ำแห่งนี้เคยเป็นแหล่งเลี้ยงแกะ ที่คนมักต้อนฝูงแกะมาอาบน้ำ ที่นี่มีกระท่อมไม้หลังเล็กที่คุณสามารถใช้เป็นห้องสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ แต่อย่าคาดหวังว่าจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ และแม้สระน้ำนี้จะอยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน แต่พวกเขาก็ยินดีให้นักท่องเที่ยวเข้าไปใช้บริการ แต่นักท่องเที่ยวเองก็ต้องให้ความเคารพต่อสถานที่และนำขยะติดตัวกลับออกไปด้วย

ยังไงผู้ที่มาแคมป์ปิ้งในไอซ์แลนด์ก็ต้องได้ลงไปแช่น้ำร้อนธรรมชาติกันบ้างสักครั้งภาพจาก  ทัวร์น้ำแร่ร้อนเรคยาดาลูร์

แต่ถ้าคุณเป็นคนติดความสะดวกสบาย ในไอซ์แลนด์ก็มีสระน้ำพลังงานความร้อนใต้พิภพที่เหมาะกับคุณอีกมากมายเช่นกัน ทั้งสระธรรมชาติและสระที่มนุษย์สร้างขึ้น และที่ฟลูดิร์เองก็มีอยู่หนึ่งแห่ง เรียกว่าซีเครทลากูน (Secret Lagoon) ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างสระธรรมชาติและมนุษย์สร้าง โดยน้ำในสระนี้จะมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 38-40 องศาเซลเซียส ซึ่งเหมาะกับการมาผ่อนคลายและสัมผัสประสบการณ์แบบชาวไอซ์แลนด์อย่างแท้จริง

ในช่วงนี้ของทริป ยังมีอีกหลายวิธีที่คุณจะได้เข้าถึงประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของการมาเที่ยวบนวงกลมทองคำของไอซ์แลนด์ แนะนำให้ลองทัวร์ขี้ม้าและทัวร์ขี่สโนว์โมบิลที่น้ำตกกุลล์ฟอสส์ คุณจะได้บิดเครื่องยนต์ข้ามทุ่งที่เต็มไปด้วยหิมะตกใหม่เหมือนฉากในหนังเจมส์ บอนด์ ตอน ดาย อนัทเธอร์ เดย์ 007 พยัคฆ์ร้ายท้ามรณะ ที่ใช้ธารน้ำแข็งโจกุลซาลอนเป็นฉากในการถ่ายทำ

วันที่ 3: วงกลมทองคำ & หุบเขาเธียวส์เอาดาลูร์       

สิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้าง สโทรคูร์พ่นน้ำทุก 5-10 นาที

ในอีกไม่ช้าคุณจะเห็นว่าไอซ์แลนด์นั้นมีสถานที่ตั้งแคมป์มากมายจริงๆ อันที่จริงแล้วทั่วประเทศนั้นมีจำนวนมากกว่า 200 แห่งด้วยซ้ำไป และสถานที่ตั้งแคมป์ส่วนใหญ่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นน้ำก๊อก อุปกรณ์ปฐมพยาบาล ปลั๊กไฟ เตาบาร์บีคิว สนามเด็กเล่น และบางแห่งยังมีคาเฟ่เปิดให้บริการด้วย

แต่ก่อนที่จะออกเดินทางคุณก็ควรตรวจสอบอีกทีว่าสถานที่ตั้งแคมป์แต่ละแห่งที่จะไปนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรให้บ้างจะได้ไม่ต้องผิดหวัง และควรศึกษาคำแนะนำเบื้องต้นก่อนการตั้งแคมป์ด้วย

ถ้าคุณพกแค่เต็นท์มาเอง คุณอาจแค่หาพื้นดินว่างๆ บนที่สาธารณะที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามริมถนนใหญ่เพื่อกางเต็นท์นอน แต่ถ้าคุณใช้รถแคมเปอร์แวน หรือรถพ่วงสำหรับกางเต็นท์ หรือรถแคมป์เปอร์แบบพับกางได้ ตามกฎหมายแล้วคุณจะไปจอดนอนตามข้างทางไม่ได้ คุณต้องไปจอดที่จุดตั้งแคมป์ให้เป็นระเบียบ แต่ไม่ว่าคุณจะมาแคมป์ปิ้งแบบไหนก็ห้ามบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่ทั้งสิ้น

ถ้าคุณเที่ยวบนเส้นทางวงกลมทองคำครบหมดแล้ว วันที่สามนี้คุณจะไปที่เมืองรองเการ์ธิง เกสตรา  (Rangárþing eystra) ในทางใต้ของไอซ์แลนด์ เมืองนี้มีสถานที่ตั้งแคมป์หลายแห่งและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังอย่างน้ำตกเฮาจ์ปาฟอสส์ (Hjálparfoss) และน้ำตกฮาลิฟอสส์ (Háifoss) ซึ่งน้ำตกฮาลิฟอสส์นั้นเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์

ขับรถต่อไปอีกไม่ไกลก็จะถึงเหวเจาลิน (Gjáin) ที่นั่นมีน้ำตกขนาดเล็กหลายแห่ง มีหินรูปทรงน่าสนใจและมีสระน้ำซ่อนอยู่หลายแห่งด้วย

จากนั้น (ถ้าอากาศเป็นใจ) คุณอาจจะได้ไปดูภูเขาไฟเฮคลา (Hekla) ที่สูงเด่นเป็นสง่าด้วยความสูง 1,491 เมตร ในยุคกลางพระชาวยุโรปมักจะเขียนบรรยายถึงภูเขาไฟเฮคลาเอาไว้ในโคลงกลอน ผลงานศิลปะและนิทานพื้นบ้านว่าที่นี่เป็น “ประตูสู่นรก” หรือ “คุกแห่งคนทรยศ” เพราะภูเขาไฟแห่งนี้มักมีการระเบิดแบบไม่ให้ตั้งตัวบ่อยๆ

ฉากหลังคือภูเขาไฟเฮคลาภูเขาไฟเฮคลา ภาพโดย Sverrir Þórðarson, Wikimedia Creative Commons

แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับแม่มดที่จะออกมารวมตัวกันที่ยอดภูเขาไฟเฮคลาทุกวันอีสเตอร์เพื่อพบกับซาตาน และไม่ว่าความเชื่อต่างๆ จะเป็นอย่างไร เฮคลาก็เคยระเบิดมาแล้วมากกว่า 20 ครั้งตั้งแต่ที่มีคนเข้ามาอาศัยอยู่ในไอซ์แลนด์ และทุกวันนี้ก็ยังสร้างความกังวลใจให้กับชาวไอซ์แลนด์อยู่เป็นระยะ แต่ถ้าคุณมาเที่ยวก็พยายามอย่าไปคิดมากเรื่องนี้เพราะหากมีวี่แววว่าเฮคลาจะระเบิดคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตนั้นแน่นอน

ขับรถต่อไปอีกไม่ไกลก็จะเป็นเธียดเวลดิสไปริน เสติง (Þjóðveldisbærinn Stöng) ซึ่งเราแนะนำให้คุณแวะเข้าไปดูโรงเรือนของชาวไวกิงที่สร้างขึ้นเลียนแบบของเดิมที่ถูกเถ้าภูเขาไฟเฮคลาฝังกลบไปหลังจากเหตุการณ์ภูเขาไฟเฮคลาระเบิดเมื่อปี 1104

อาคารหลังใหม่ถูกสร้างขึ้นในขนาดและรูปทรงเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งแล้วเสร็จในปี 1974 และกลายเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในไอซ์แลนด์ในยุคแรกๆ เมื่อประมาณหนึ่งพันกว่าปีมาแล้ว และถ้าคุณกังวลเรื่องความสะดวกสบายของสถานที่ตั้งแคมป์ อย่างน้อยสำหรับที่เธียดเวลดิสไปริน เสติง คุณจะไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้เลย

ที่ควอลส์เวิลลูร์ (Hvolsvöllur) ก็มีสถานที่กางเต็นท์ดีๆ เหมือนกัน เช่น จุดตั้งแคมป์ลางบรอก (Langbrók) ในฟโยล์ทฮีด (Fljótshlíð) โดยคุณสามารถเดินทางไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของควอลส์เวิลลูร์เพื่อไปเที่ยวที่ลานมันนาเลยการ์ (Landmannalaugar) ได้ด้วย ที่นั่นเป็นพื้นที่สงวนสำหรับพลังงานความร้อนใต้พิภพในเขตไฮแลนด์ทางใต้ และมีชื่อเสียงเรื่องทิวทัศน์อันงดงามและเส้นทางเดินเขาที่มีให้เลือกหลากหลายระยะทางตั้งแต่แบบหนึ่งชั่วโมงไปจนถึงเทรลเลยการแวกูร์ (Laugavegur) ที่ต้องใช้เวลาเดิน 4 วัน

สมาคมท่องเที่ยวไอซ์แลนด์มีที่พักแบบลอดจ์เปิดให้บริการสำหรับนักเดินเขาด้วย แต่ว่าถ้าจะมาเข้าพักต้องทำการจองล่วงหน้ากันเป็นเวลานานทีเดียว

ภาพมุมสูงเหนือไฮแลนด์ตอนกลางประเทศ

วันที่ 4: ชายฝั่งตอนใต้ถึงเคิร์กยูแบร์ยาร์กเลาสเทอร์       

บนชายฝั่งทางใต้นี้สถานที่ตั้งแคมป์จะค่อนข้างหายากหน่อย จุดตั้งแคมป์ที่เคฟลามอร์ก (Kleifarmörk) ซึ่งอยู่ห่างจากเคิร์กยูแบร์ยาร์กเลาสเทอร์ (Kirkjubæjarklaustur) ไปประมาณ 2.5 กิโลเมตร ก็ไม่แย่นักสำหรับธรรมชาติที่สวยงาม แถมยังมีม้านั่ง ห้องน้ำ และสนามฟุตบอลด้วย

สำหรับนักไต่เขาผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใด แถวนี้มีเทรลให้คุณเลือกมากมาย เช่น เส้นทางไปซิสตราสตาปิ  (Systrastapi) หรือเขานางชี ที่มีเรื่องเล่าว่ามีนางชีสองนางถูกฆ่าตายในบริเวณนี้เพราะทำผิดกฎศีลธรรม นอกจากนี้ใกล้ๆ กับจุดตั้งแคมป์ยังมีน้ำตกและสระว่ายน้ำที่นักท่องเที่ยวสามารถลงไปแช่น้ำอุ่นเล่นเพลินๆ ได้

เคิร์กยูแบร์ยาร์กเลาสเทอร์เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความสงบด้วย ระหว่างไฮกิ้งไปตามป่าเขาแถวนี้คุณอาจได้เจอกับแกะป่าซึ่งอาจจะไม่สู้เป็นมิตรสักเท่าไรนัก แต่พวกมันก็เป็นตัวอย่างของการเอาตัวรอดในสภาพอากาศแบบอาร์กติกที่โหดร้ายได้ดี ผมมีเคล็ดลับอยู่อย่างหนึ่งคือพยายามอย่าไปทำให้แกะตัวผู้โมโหเข้าล่ะ

แกะเต็มไปหมด ถ้าพวกมันแวะมาทักทายที่เต็นท์ก็ไม่ต้องตกใจ

อีกไม่นานคุณก็จะไปถึงหาดเรย์นิสฟยารา (Reynisfjara) สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่งดงามจับใจแต่ก็โหดร้ายใช่เล่น ผู้ที่เคยไปเยือนหาดแห่งนี้บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าที่นี่เป็นหาดที่เจ๋งที่สุดแล้ว โดยหาดทรายตามแนวชายฝั่งนั้นเป็นหาดทรายสีดำสนิทและมีเสาหินบะซอลต์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าการ์ดาร์ (Gardar) เป็นเหมือนประติมากรรมธรรมชาติประดับอยู่ตามแนวหิน

นอกจากนี้ห้ามพลาดไปดูโขดทะเลซึ่งเป็นเสาหินบะซอลต์สูง 66 เมตรโผล่อยู่เหนือผิวน้ำแถวนั้นด้วย โขดหินในบริเวณนี้ถูกคลื่นมหาสมุทรแอตแลนติกอันโหดร้ายถาโถมเข้าใส่ตลอดเวลา จนทำให้หินสึกกร่อนกลายเป็นรูปทรงพิลึกพิลั่นสร้างชื่อเสียงให้กับหาดได้ไม่น้อย รับรองว่าต้องได้รูปสวยแปลกตาไปประดับฝาผนังที่บ้านอย่างแน่นอน

เมื่อคุณเดินเล่นตามชายฝั่งจนพอใจแล้ว (ไม่ว่าจะอย่างไรก็ห้ามลงน้ำในบริเวณนี้เป็นอันขาด) คุณควรขับรถต่อไปที่หมู่บ้านวิก (Vik) ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ที่นั่นเป็นศูนย์รวมสิ่งอำนวยความสะดวกของแถวนี้ และเป็นเมืองเล็กๆ ในทางใต้ที่มีวิวสวยมากทีเดียว โดยในชุมชนแห่งนี้บ้านเรือนและโบสถ์จะถูกสร้างอยู่ด้านหน้าภูเขาสูงทั้งหมด

ชายฝั่งทางใต้เป็นหนึ่งในคาบสมุทรที่สวยที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุดในไอซ์แลนด์

วันที่ 5: ธารน้ำแข็งวัทนาโจกุลถึงเฮิฟน์      

วันที่ห้าเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการไปเที่ยวที่วัทนาโจกุล ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ซึ่งกินพื้นที่ 8% ของประเทศ และวัทนาโจกุลนั้นมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรป ธารน้ำแข็งแห่งนี้มีพื้นที่ประมาณ 8,000 ตารางกิโลเมตร มีน้ำแข็งปกคลุมเฉลี่ยหนาถึง 400 เมตร และมีผู้ประกอบการทัวร์จำนวนมากที่ให้บริการทัวร์กลาเซียร์บนธารน้ำแข็งแห่งนี้

ทัวร์กลาเซียร์จะทำให้คุณได้รู้ว่าแผ่นดินไหว น้ำพุใต้พิภพ และการที่น้ำแข็งละลายนั้นส่งผลต่อการเกิดโครงสร้างสวยๆ ของกลาเซียร์ได้อย่างไร สำหรับผู้ที่กลัวลื่นล้มเราขอบอกเลยว่าไม่ต้องกลัวเพราะว่าไกด์ที่จะพาคุณขึ้นไปนั้นมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากและระหว่างที่สำรวจธารน้ำแข็งนั้นพวกเขาจะคอยให้คำแนะนำกับคุณทีละขั้นตอน

ทัวร์บางแพ็คเกจจะพาไปปีนกำแพงน้ำแข็งสูงชันด้วยขวานน้ำแข็งด้วย และนี่คือตัวอย่างของกิจกรรมผจญภัยที่รอคุณอยู่สำหรับแคมป์ปิ้งทัวร์ที่ไอซ์แลนด์ เมื่อเอ่ยถึงเรื่องขวานทำให้นึกขึ้นได้ด้วยว่าวัทนาโจกุลก็เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำซีรีส์เกมออฟโทรนของช่อง HBO ซึ่งเป็นซีรีส์ที่โด่งดังที่สุดแห่งยุคนี้ก็ว่าได้ ไม่แน่คุณอาจเผลอมโนว่าเป็นหนึ่งในอัศวินราตรีคอยปกป้องกำแพง (ที่ไม่มีข้าศึก) อยู่ก็ได้

แคมป์ปิ้งในไอซ์แลนด์ทำให้ได้สูดอากาศบริสุทธิ์บนภูเขาเข้าปอด

การมาเที่ยวแบบแคมป์ปิ้งนั้นยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าการพักโฮสเทลในเมืองเยอะเลย เพราะคุณจะได้หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ ได้ออกกำลังขาแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยการเดินระยะไกลเวลาเข้าไปใช้ชีวิตตามป่าเขา และในไอซ์แลนด์นั้นไม่มีที่ไหนจะมีความเป็นป่าไปมากกว่าที่สกัฟตาเฟลล์ (Skaftafell) แล้ว ซึ่งคืนนี้คุณจะพักค้างแรมกันที่นี่

ยุคที่มีการเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไอซ์แลนด์ใหม่ๆ ที่นี่เคยเป็นพื้นที่เกษตรกรรม แต่ต่อมาภายหลังชุมชนแห่งนี้ถูกทำลายแบบไม่เหลือซากเมื่อภูเขาไฟเออไรวาโจกุลล์ (Öræfajökull) ระเบิดเมื่อปี 1362 และตั้งแต่นั้นมาแถวนี้ก็ถูกเรียกเป็นภาษาไอซ์แลนด์ว่า Öræfi ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Wasteland หรือพื้นที่รกร้างว่างเปล่า

ปัจจุบันนี้คุณจะเห็นว่าเขตอนุรักษ์ซึ่งอยู่ในภูมิภาคเออไรฟาสเวท (Öræfasveit) ที่เต็มไปด้วยภูเขาในทางใต้ของไอซ์แลนด์แห่งนี้มีแต่ความว่างเปล่าจริงๆ โดยสกัฟตาเฟลล์เองนั้นเคยเป็นอุทยานแห่งชาติมาก่อนจนกระทั่งปี 2008 จึงถูกรวมเข้ากับอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุล

คุณจะพบว่าบริเวณนี้มีความแตกต่างไปจากอีกหลายๆ สถานที่ในไอซ์แลนด์อย่างสิ้นเชิง ด้วยสภาพภูมิอากาศที่อบอุ่นมากกว่าและมีชั่วโมงที่แสงแดดส่องยาวนานมากกว่าทำให้สกัฟตาเฟลล์เป็นเหมือนสวรรค์ทั้งสำหรับคนและสัตว์ โดยแถวนี้มีสุนัขจิ้งจอกอาร์กติก มิงก์ และนกหลากหลายสายพันธุ์ (อาทิ นกเรดโพล นกเรดวิงก์ นกกระจิบ ฯลฯ) มาอาศัยอยู่เต็มไปหมด

อีกอย่างที่แตกต่างไปจากที่อื่นในไอซ์แลนด์คือบริเวณนี้มีต้นเบิร์ชและต้นหลิวค่อยๆ เจริญงอกงามเติบโตยึดพื้นที่ โดยพวกมันได้น้ำจากธารน้ำแข็งใต้ผืนดินเป็นตัวหล่อเลี้ยงให้ชุ่มฉ่ำอยู่ตลอดเวลา

วันที่ 6: ทะเลสาบธารน้ำแข็งโจกุลซาลอน       

ค่อยๆ ลัดเลาะไปตามเส้นทางคดเคี้ยวบนชายฝั่งทางใต้ไปเรื่อยๆ ก็จะไปถึงเขตฟยอร์ตะวันออก (Eastern Fjord) ที่มีความสวยงามมากอีกแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ ธารน้ำแข็งโจกุลซาลอนเป็นจุดหมายปลายทางแห่งแรกที่คุณจะไปแวะ ที่นั่นมีภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาผลุบโผล่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำสีฟ้าที่ใต้ฐานของธารน้ำแข็งเปรียดาร์แมร์คูร์โจกุล (Breiðamerkurjökull)

เมื่อยืนอยู่ริมทะเลสาบคุณจะสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบ และหากคุณอยากเข้าไปดูภูเขาน้ำแข็งแบบใกล้ๆ และอยากเห็นวิวแบบชิดติดขอบธารน้ำแข็งเลย คุณต้องซื้อทัวร์เรือโซดิแอกเพื่อเข้าไป อย่าลืมสวมเสื้อชูชีพและชุดกันน้ำก่อนที่เรือจะออกด้วย

ภูเขาน้ำแข็งก้อนเล็กถูกซัดขึ้นมาบนหาดไดมอนด์

แมวน้ำและนกน้ำลูนเป็นสัตว์ที่พบเห็นกันเป็นเรื่องปกติที่นี่ พวกมันจะออกมาเล่นคลื่น และนกน้ำลูนนั้นหวงรังของพวกมันมาก ดังนั้นอย่าไปเข้าใกล้นกพวกนี้ถ้าคุณไม่อยากโดนนกจิกหัว เมื่อสิ้นสุดวันนี้คุณจะเดินทางไปพักค้างคืนที่จุดตั้งแคมป์ที่เอกิลสตาดีร์ (Egilsstaðir) ซึ่งเป็นชุมชนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออก

วันที่ 7: ฟยอร์ดตะวันออก      

ถ้าคุณมองหาภูมิภาคเอยส์ฟิยร์ดิร์ (Austfirðir) บนแผนที่ สิ่งแรกที่คุณจะสังเกตเห็นก็คือทิวทัศน์อ่าวที่เว้าแหว่งจากการถูกน้ำทะเลกัดเซาะ ที่นี่คือเขตของฟยอร์ดทางทิศตะวันออกของไอซ์แลนด์ คุณจะได้เห็นการหลอมลวมทางวัฒนธรรมที่ประเพณีของคนในท้องถิ่นค่อยๆ ผสมผสานกับวัฒนธรรมของผู้ที่เข้าตั้งถิ่นฐานใหม่ด้วย 

ในเฟาสกรูดสฟยอร์ดูร์ (Fáskrúðsfjörður) ป้ายต่างๆ จะเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสและภาษาไอซ์แลนด์ และคุณควรพักค้างคืนในเซย์ดิร์ฟยอร์ดูร์ (Seyðisfjörður) และแวะเที่ยวที่นี่ด้วย เพราะที่เซย์ดิร์ฟยอร์ดูร์มีสถาปัตยกรรมแบบนอร์เวย์ แต่กิจกรรมต่างๆ นั้นมีความเป็นไอซ์แลนด์มากๆ เช่น ฮอร์กาท (Hákarl) หรือการกินปลาฉลามเน่า

พายคายัคเข้าไปดูแมวน้ำใกล้ๆ

การขึ้นไปชมเขาสไนล์เฟลล์ (Mt. Snæfell) เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในภูมิภาคเอยส์ฟิยร์ดิร์ เทรลที่เดินขึ้นไปนั้นมีความงดงามมาก เขาลูกนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังนอกเขตธารน้ำแข็ง และมีความสูงถึง 1,853 เมตร ซึ่งสูงมากเสียจนที่บนยอดเขามีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดแม้แต่ในช่วงหน้าร้อน ตลอดเวลาที่คุณอยู่ที่นี่คุณจะมองเห็นมันตระหง่านอยู่เหนือเส้นขอบฟ้าเสมอ

เขาลูกนี้ยังถือเป็นข่าวดีอีกอย่างด้วยถ้าคุณเล่นสกีแบ็คคันทรี แต่ถ้านั่นโหดไปหน่อยสำหรับคุณ คุณก็ยังมีทางเลือกอีกอย่าง เช่น นั่งรถซุปเปอร์จี๊ปแบบเดย์ทัวร์ขึ้นไปชมบนยอดเขาด้านบน จากนั้นค่อยจบทริปวันนี้ด้วยการไปแช่น้ำแร่ร้อนท่ามกลางความเงียบสงบ

วันที่ 8: ทะเลสาบมิวาทน์       

หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุด (หรืออาจจะเรียกว่าสิ่งที่ขาดหายไปก็ได้) สำหรับการมาแคมป์ปิ้งที่ไอซ์แลนด์ก็คือที่นี่ไม่มียุง ความจริงแล้วคือแทบจะไม่มีแมลงเลยสักชนิด ยกเว้นแค่เพียงตัวริ้นหกขา (Midge) ที่มักจะพบได้บ่อยตามริมน้ำในประเทศแถบนอร์ดิก และในช่วงหน้าร้อนคุณจะได้เจอกับพวกมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เจ้าเพื่อนตัวน้อยน่ารำคาญเหล่านี้ยังเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบมิวาทน์ (Midge Lake = Mývatn Lake) ด้วย ถ้าตั้งใจจะมาเที่ยวในช่วงหน้าร้อน คุณควรจะเตรียมหมวกคลุมหน้ากันแมลงมาด้วยจะได้ไม่หงุดหงิดเวลาดื่มด่ำกับความงดงามของวิวแถวนี้

มิวาทน์มีบรรยากาศภูเขาไฟสวยๆ รอให้คุณไปสำรวจเครดิตภาพ: Flickr. Creative Commons. ภาพโดย  Michael Huniewicz

มิวาทน์เป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติอีกหนึ่งแห่งของไอซ์แลนด์ที่มีความงดงามและมีธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ที่นี่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติเลยทีเดียว โดยสถานที่เที่ยวในบริเวณนี้มีความน่าสนใจมากเพราะมีทิวทัศน์แปลกตาตามแบบฉบับของแถบภูเขาไฟ เช่น ช่องเขาเนามาส์การ์ด ปากปล่องภูเขาไฟเทียมสกูตูสตาดากีการ์ (Skútustaðagígar) และลาวาดิมมูร์บอร์กิร์ (Dimmuborgir) หรือปราสาทดำ เชื่อเถิดว่าระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ คุณจะมีวิวที่ทำให้ประหลาดใจได้ไม่รู้จบ

ในวันที่แปดนี้คุณสามารถพักค้างคืนที่ฟยาลลาดีร์ท (Fjalladýrð) หรือที่เฮดาร์ไบร์ (Heiðarbær) ก็ได้

วันที่ 9: ทะเลสาบมิวาทน์และฮูสาวิก       

มาจนถึงวันนี้ร่างกายของคุณคงเริ่มเหนื่อยล้าจากการเดินทางท่องเที่ยวมากแล้ว ดังนั้นการได้พักผ่อนสบายๆ แถวมิวาทน์สักหนึ่งวันเกือบจะเป็นเรื่องจำเป็นทีเดียว ดังนั้นเราแนะนำให้คุณใช้เวลาในวันนี้ไปกับการแช่น้ำร้อนที่อ่างน้ำธรรมชาติมิวาทน์

ห่างจากอาคูเรย์ริ (Akureyri) เมืองหลวงของภาคเหนือไป 105 กิโลเมตร ก็จะมีสระน้ำธรรมชาติหลายแห่งให้คุณได้ลงไปผ่อนคลายกล้ามเนื้อซึ่งน้ำแถวนี้อุดมไปด้วยแร่กำมะถันที่มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง และยังช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการขับรถบนถนนมาตลอดหลายวันได้เป็นอย่างดี และในระหว่างที่แช่น้ำคุณก็จะได้ดื่มด่ำกับทิวทัศน์อันสวยงามของแถบมิวาทน์ด้วย ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบมากสำหรับนักเดินทางอย่างคุณ

อ่างน้ำธรรมชาติมิวาทน์ ถูกกว่าและคนน้อยกว่าบลูลากูนเครดิต: Wikimedia. Creative Commons. ภาพโดย  Brian McAdam

หลังจากแช่น้ำร้อนในอ่างน้ำธรรมชาติมิวาทน์จนร่างกายสดชื่นกันแล้ว คุณอาจจะอยากไปดูปลาวาฬในแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติของพวกมัน หากสนใจทัวร์ดูปลาวาฬที่ฮูสาวิกก็มีผู้ประกอบการอยู่สองเจ้า คือ Gentle Giants Whale Watching และ North Sailing Whale Watching

การดูปลาวาฬในทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์นั้นดีกว่าทางใต้มากเพราะแถวนี้มีโอกาสได้เห็นพวกมันมากกว่า และก็มีประชากรวาฬหลากหลายสายพันธุ์มากกว่าด้วย อีกทั้งยังมีวิวภูเขาสวยๆ ให้ดู และจำนวนนักท่องเที่ยวก็น้อยกว่าเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว

วาฬหลังค่อมกระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำภาพจาก ทัวร์ถ้ำลาวา & ดูวาฬ

ตัวเลือกอื่นสำหรับวันนี้มีทั้งขับรถไปที่โจกุลส์เอาร์กยูฟูร์ (Jökulsárgljúfur) ในอุทยานแห่งชาติวัทนาโจกุลเพื่อไปดูวิวสวยๆ ของหุบเขาเอาส์บิร์กิ (Ásbyrgi Canyon) ทรงเกือกม้า (ตำนานเล่าไว้ว่าสเลปนีร์ (Sleipnir) ม้าของโอดินใช้กีบเท้ากระทืบลงแถวนี้เมื่อตอนที่วิ่งขึ้นสวรรค์ไป) และไปเที่ยวน้ำตกเดตติฟอสส์ (Dettifoss) น้ำตกที่ทรงพลังมากที่สุดในทวีปยุโรป ซึ่งคุณอาจจะพอจำน้ำตกแห่งนี้ได้จากฉากเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่องโพรมีธีอุส (Prometheus) ของผู้กำกับริดลีย์ สก็อตต์

คืนนี้คุณจะพักค้างคืนกันต่อที่จุดตั้งแคมป์ที่ฟยาลลาดีร์ท (Fjalladýrð) หรือที่เฮดาร์ไบร์ (Heiðarbær) หรือจะลองย้ายไปพักที่เกสต์เฮ้าส์ (Lónsá Guesthouse) ติดกับเมืองอาคูเรย์ริก็ได้



วันที่ 10: สิกลูฟยอร์ดูร์ & คาบสมุทรโทรลล์         

สิกลูฟยอร์ดูร์ (Siglufjörður) โด่งดังมากเมื่อช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ในฐานะที่เป็นเมืองที่ทำประมงปลาแฮร์ริ่ง และทุกวันนี้เมืองนี้ก็ยังคงรักษาประเพณีดั้งเดิมไว้ โดยยังมีการจัดงานเทศกาลปลาแฮร์ริ่งประจำปีอยู่และในเมืองก็มีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับปลาชนิดนี้โดยเฉพาะด้วย สำหรับคนที่ชอบอะไรทำนองนี้ (เชื่อว่าต้องมี) ควรกาปฏิทินเอาไว้เลย

เกาะดรังกี (Drangey) นอกชายฝั่งเซยดาร์โครคูร์ (Sauðárkrókur) มีตำนานเล่าว่าเคยเป็นที่อยู่ของชายหนุ่มทรงพลังเกรตตี้ แห่งเกรตตีซากา (Grettir of Grettissaga) ซึ่งเป็นพวกนอกกฎหมายที่ซ่อนตัวจากทั้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและภูติผีปิศาจต่างๆ แม้จะเป็นเรื่องเหลือเชื่อเอามากๆ แต่เกาะแห่งนี้ก็เหลือเชื่อเหมือนกันเพราะคุณจะมีโอกาสได้เห็นนกพัฟฟินและนกทะเลชนิดอื่นๆ ที่มาทำรังบนเกาะแบบใกล้ชิด

พัฟฟินบินออกมาจากข้างหน้าผา

หมู่บ้านประมงแบบดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ และอาหารทะเลอร่อยๆ แถวนี้เป็นสิ่งที่คุณจะต้องประทับใจ นอกจากนี้ทางฝั่งเหนือยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีก เช่น ไปตกปลาเทราต์และปลาแซลมอนในแม่น้ำโฮลเซา (Hólsá) หรือไปทัวร์ล่องแก่งที่โจกุลซ์เอา (Jökulsá)

สำหรับวันที่สิบคุณสามารถเลือกไปพักที่สถานที่ตั้งแคมป์ที่สิกลูฟยอร์ดูร์ (Siglufjörður) หรือที่เซยดาร์โครคูร์ (Sauðárkrókur) ก็ได้

วันที่ 11: ฟยอร์ดสกาการ์ฟยอร์ดูร์        

วันนี้คุณจะไปตั้งแคมป์ที่คแวมสตองกี (Hvammstangi) และจะไปเที่ยวที่บอร์การ์วิร์กิ (Borgarvirki) ป้อมปราการเสาหินบะซอลต์ที่ผู้อพยพชาวไวกิงเคยใช้ในการสู้รบ คุณสามารถแวะไปเที่ยวที่คาบสมุทรวาทน์สเนส (Vatnsnes) ซึ่งมีประชากรแมวน้ำอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากที่สุดในไอซ์แลนด์ ที่นั่นมีวิวที่น่าสนใจของเสาหินบะซอลต์ฮวิทแซร์กูร์ (Hvítserkur) ด้วย

ถ้าคุณชอบดูแมวน้ำ ให้คุณไปที่ศูนย์แมวน้ำไอซ์แลนด์ (Icelandic Seal Centre) ที่คแวมสตองกีด้วย รับรองว่าคุณจะต้องชอบแน่ๆ เพราะที่นั่นเป็นทั้งพิพิธภัณฑ์และศูนย์ข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับแมวน้ำสายพันธุ์ต่างๆ ในไอซ์แลนด์ รวมถึงวิธีที่ชาวประมงสมัยก่อนใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมการสืบพันธุ์ของพวกมัน

นอกจากนี้คุณและครอบครัวยังจะได้ทำความรู้จักกับนิทานพื้นบ้านของชาวไอซ์แลนด์และได้เห็นว่าเจ้าสัตว์โลกตัวอ้วนฉุนี้มีบทบาทต่อประเพณีและตำนานต่างๆ ของชาวบ้านอย่างไรบ้าง

ทางเหนือของไอซ์แลนด์ แม้จะไม่ค่อยมีคนเข้าไปเที่ยวแต่แถวนั้นก็มีทัศนียภาพและสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามในแบบไม่เหมือนใครภาพจาก คาบสมุทรวาทน์สเนสในทางเหนือของไอซ์แลนด์

หรือบางที่คุณอาจจะเริ่มเบื่อกับชีวิตสัตว์โลกและอยากจะไปดูวิถีชีวิตของผู้คนตามบ้านเรือนริมชายฝั่งมากกว่า ถ้าเช่นนั้นให้ไปที่โฮฟซอส (Hofsós) เพื่อไปชมเรื่องราวของชาวไอซ์แลนด์ที่ต้องต่อสู้กับความอดอยากโดยการล่องเรือหนีไปที่แคนาดาและอเมริกา หรือถ้าอารมณ์นี้คุณยังไม่อยากรับรู้อะไรเลยก็สามารถไปแช่น้ำที่สระว่ายน้ำโฮฟซอส (Hofsós Pool) แทนก็ได้ แถวนั้นก็มีวิวสวยๆ ให้ชื่นชมเหมือนกัน

วันที่ 12: คาบมหาสมุทรสไนล์แฟลซเนสและสติกกิโฮลมูร์   

วันที่สิบสองคุณจะเดินทางไปที่คาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส (Snæfellsnes) และคุณสามารถเลือกได้ว่าจะพักค้างคืนที่โอลาปสวิค (Ólafsvík) หรือที่เฮลลิสซานดูร์ (Hellissandur)

แต่ก่อนที่จะถึงเวลานอนนั้น คุณยังต้องไปเที่ยวเขาสไนเฟลล์โจกุล (Snæfellsjökull) ที่มีกลาเซียร์ปกคลุม ซึ่งเป็นไฮไลต์ของคาบสมุทรแห่งนี้กันก่อน โดยภูเขาไฟทรงกรวยสลับชั้นลูกนี้มีความสูงมากกว่า 1,446 เมตรและมีปล่องภูเขาไฟลึก 200 เมตร บางตำราบอกว่าเกิดจากปรากฏการณ์ในการรักษาตัวเองของธารน้ำแข็ง แต่ก็มีตำนานที่เชื่อว่าบริเวณนี้เป็นจุดนัดพบของเหล่ามนุษย์ต่างดาวอยู่ด้วยเหมือนกัน

ในวรรณกรรมวิทยาศาสตร์คลาสสิกของจูลส์ เวิร์น (Jules Verne) เรื่อง Journey to the Centre of the Earth ภูเขาสไนเฟลล์โจกุลเป็นประตูที่ศาสตราจารย์ลีเดนบรอก (Lidenbrock) ใช้ผ่านเข้าออกโลกใต้พิภพ โดยจูลส์ เวิร์น ได้บรรยายเรื่องราวไว้ดังนี้ – “Descend, bold traveller, into the crater of the jökull of Snæfell, which the shadow of Scartaris touches (lit: tastes) before the Kalends of July, and you will attain the centre of the earth.” ซึ่งแปลได้ว่านักเดินทางผู้กล้าหาญลงมาทางปล่องภูเขาไฟแห่งสไนเฟลล์ เมื่อเงาของยอดเขานี้สัมผัสที่ปากปล่องก่อนวันแรกของเดือนกรกฎาคม และเขาก็เข้าไปถึงใจกลางโลก

สไนล์แฟลซเนสเป็นภูมิภาคลึกลับและไม่มีผู้คนเหมาะกับการไปสำรวจมาก

สไนล์แฟลซเนสน่าจะเป็นสถานที่โปรดของนักกินด้วย ถ้าคุณผ่านไปแถวนั้นต้องแวะดื่มน้ำแร่ธรรมชาติ ชิมไอศกรีมและโยเกิร์ตสเกร์ของไอซ์แลนด์ที่ Erpsstaðir Creamery หรือไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ฉลามที่บยาร์นาร์เฮิฟ์น (Bjarnarhöfn) เพื่อดูเรื่องราวเกี่ยวกับฉลามกรีนแลนด์และวิธีที่ชาวไอซ์แลนด์แปรรูปและกินฉลามหมักอย่างเอร็ดอร่อยมานานหลายศตวรรษ

ห้ามพลาดชิมเมนูจากหอยเชลล์และหอยเม่นที่ส่งตรงจากมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยเพราะไม่มีอาหารทะเลที่ไหนจะสดแบบนี้อีกแล้ว

จุดสุดท้ายของวันอยู่ที่ในเมืองสติกกิโฮลมูร์ (Stykkishólmur) ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดบนคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส ที่นี่มีทัวร์ล่องเรือชมพาวิวสวยๆ ของเบรียดาฟยอดูร์  (Breiðafjörður) จากในฟยอร์ดคุณจะมองเห็นเกาะจำนวนมากมายซึ่งไร้ผู้อยู่อาศัย แต่ในอดีตเคยใช้เป็นวัดและจุดแลกเปลี่ยนสินค้า และในจำนวนนั้นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือเกาะแฟลทเทย์  (Flatey) ซึ่งคุณสามารถเข้าไปเที่ยวได้ในช่วงหน้าร้อน ถือว่าพักเบรคจากแผ่นดินใหญ่บ้างก็แล้วกัน

วันที่ 13: คาบมหาสมุทรสไนล์แฟลซเนสและถ้ำวาท์ทเฮลลิร์

สำหรับวันที่สองบนคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส ถ้าคุณอยากสัมผัสความตื่นเต้นเร้าใจและได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วย เราแนะนำให้ไปเที่ยวชมถ้ำต่างๆ ในไอซ์แลนด์ ซึ่งทั่วประเทศนั้นมีถ้ำ รอยแยก และเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินนับเป็นพันๆ แห่ง และทัวร์สำรวจถ้ำเหล่านี้ก็มักจะไม่จำกัดอายุนักท่องเที่ยว

ลึกลงไปที่ใต้พื้นดิน นักท่องเที่ยวจะต้องเดิน คลาน และปีนป่ายผ่านไปตามก้อนหินและหินงอกรูปทรงต่างๆ และต้องข้ามลำธารใต้น้ำ โดยจะมีไกด์คอยชี้ชวนให้ดูสิ่งที่น่าสนใจ เช่น โครงกระดูกแกะโบราณ หรือสัตว์หายากที่อาศัยอยู่ใต้ดิน พร้อมกับเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ฟังระหว่างเดินเข้าไปด้วย และในไม่ช้าคุณก็จะได้ตื่นตะลึงกับความงามของโลกคู่ขนานใต้ผืนดินที่ไอซ์แลนด์

ทริปเที่ยวถ้ำทำให้ได้รู้จักกับลักษณะทางธรณีวิทยาของไอซ์แลนด์ดีขึ้นภาพโดย  Regína Hrönn Ragnarsdóttir

ถ้ำที่น่าสนใจแห่งหนึ่งในสไนล์แฟลซเนสคือถ้ำลาวาวาท์ทเฮลลิร์ (Vatnshellir Lava Cave) ซึ่งเริ่มเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี 2011 ถ้ำนี้มีลักษณะเหมือนถ้ำส่วนใหญ่ของไอซ์แลนด์ โดยมีความยาว 200 เมตร และภายในถ้ำแยกออกเป็นสองส่วน ด้านบนของถ้ำนั้นเต็มไปด้วยประติมากรรมลาวาที่เกาะติดอยู่รอบๆ ตัวอุโมงค์ที่เกิดจากลาวาเหมือนกัน และเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีการค้นพบว่าพื้นที่ด้านล่างของถ้ำนั้นเต็มไปด้วยความมืดมิดและความลี้ลับ

เมื่อเข้าไปถึงที่หมาย ไกด์จะให้คุณนั่งลง ปิดตะเกียงบนศีรษะและเงี่ยหูฟัง นี่จะเป็นประสบการณ์ในความมืดมิดในแบบที่คุณต้องไม่เคยสัมผัสมาก่อนแน่นอน เพราะเมื่อประสาทสัมผัสเกือบจะถูกปิดโดยสิ้นเชิง คุณจะได้ยินแต่เสียงติ๋งๆ ของหยดน้ำที่สะท้อนผ่านความว่างเปล่าของถ้ำและจิตที่นิ่งสงบของคุณ

จากนั้นคุณก็จะกลับออกมาสู่โลกด้านบนให้แสงอาทิตย์ส่องหน้าอีกครั้ง (หรือถ้าไม่มีแดดอย่างน้อยก็ออกมารับอากาศบริสุทธิ์สดชื่น เพราะที่นี่คือไอซ์แลนด์) ขับรถต่อไปอีกไม่ไกลก็จะถึงหาดอิทรี ทุงกา (Ytri-Tunga) พื้นที่บริเวณนี้ในอดีตเคยเป็นฟาร์มทำเกษตรกรรรมและปัจจุบันมีฝูงแมวน้ำมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก คุณอาจจะได้เห็นแมวน้ำสีเทาและแมวน้ำอื่นๆ ทั่วไปมารวมตัวโต้คลื่นหยอกล้อ หรืออาบแดดด้วยกันเพราะพวกมันก็ชอบไออุ่นจากแสงแดดที่หาได้ยากนักเหมือนๆ กับมนุษย์เรานี่ล่ะ

แมวน้ำทักทายมนุษย์เครดิต: Wikimedia. Creative Commons. ภาพโดย  Mateusz Wiodarczyk

แต่ถ้าไม่ไปดูแมวน้ำ สไนล์แฟลซเนสก็ยังมีอะไรอย่างอื่นให้คุณดูอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไปเดินเล่นสัมผัสบรรยากาศโรแมนติกของชายหาดสีทองที่ลังกาโฮลท์ (Langaholt) หรือแวะไปที่ท่าเรือในหมู่บ้านประมงที่อาร์นาร์สทาปิ (Arnarstapi) เพื่อไปดูหินสวยๆ และฝูงนกนางนวลอาร์กติก

ในวันที่สิบสามคุณสามารถเลือกพักที่จุดแคมป์ปิ้งในโอลาปสวิค (Ólafsvík) เฮลลิสซานดูร์ (Hellissandur) หรือที่เอลบอร์ก (Eldborg) ก็ได้

วันที่ 14: เรคยาวิก      

ฮัลล์กรีมสคิร์คยา โบสถ์ที่สวยที่สุดของเมือง

ในที่สุดคุณก็กลับมาที่เมืองหลวงแล้ว โดยในเรคยาวิก (Reykjavik) คุณสามารถไปพักที่จุดตั้งแคมป์ที่เลยการ์ดาลูร์ (Laugardalur) 

ระหว่างที่เดินทางจากสไนล์แฟลซเนสลงมาที่เมืองเรคยาวิก คุณจะผ่านแถวเรค์คอร์ค (Reykholt) ซึ่งเคยเป็นบ้านของสนอร์รี สเทอร์ลิวซัน (Snorri Sturluson) กวีชื่อดังแห่งยุคกลาง ผู้เคยดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติในอัลทิงกิมาสองสมัย และสนอร์รีผู้นี้ยังมีบทบาทในด้านศิลปะ กวีนิพนธ์ และการเมืองของประเทศเกิดใหม่แห่งนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลต่อเนื่องมาถึงวัฒนธรรมของไอซ์แลนด์ในยุคปัจจุบันด้วย ที่ชุมชนแห่งนี้คุณจะได้เห็นซากของโรงอาบน้ำ รวมถึงสระว่ายน้ำพลังงานความร้อนใต้พิภพ และฟาร์มที่เคยเป็นของสนอร์รีมาก่อน และห่างจากเรค์คอร์คไปอีกเพียง 20 กิโลเมตรเป็นน้ำตกเฮินฟอซซาร์ (Hraunfossar) และถ้ำวิดเกลมิร์ (Víðgelmir)

ออกไปนอกเมืองเรคยาวิก ที่เมืองมอสแฟลลส์ไบร์ (Mosfellsbær) ซึ่งอยู่ในเขตปริมณฑล คุณจะผ่านพิพิธภัณฑ์กลูยฟราสเททิน (Gljúfrasteinn) บ้านเก่าของนักเขียนเจ้าของรางวัลโนเบล ฮาลดูยง ลักซเนส (Halldór Laxness) (1902-1998) ผู้ประพันธ์นิยายคลาสสิกของไอซ์แลนด์เรื่อง “อิสระชน” Independent People และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย

ถ้าไม่นับนิยายซากาอิงประวัติศาสตร์แล้ว อิสระชนอาจจะเป็นหนังสือที่มีความสำคัญมากที่สุดในหมวดวรรณกรรมไอซ์แลนด์สมัยใหม่เลยก็ว่าได้ และสามารถพบเห็นหนังสือเล่มนี้ได้ตามร้านหนังสือและบ้านเรือนของชาวไอซ์แลนด์ทั่วไป ลักซเนสปั้นแต่งชีวิตให้กับตัวละครและวัฒนธรรมในเรื่องอย่างพิถีพิถันมาก จึงเป็นผลงานที่ทำให้เห็นคาแรคเตอร์ต่างๆ ของชาวไอซ์แลนด์อย่างชัดเจน บ้านของเขายังคงได้รับการดูแลรักษาให้สวยงามเหมือนกับเมื่อสมัยที่เขาใช้เป็นสถานที่เขียนงานและตอนนี้ยังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมของเขาด้วย ถ้าคุณอยากหาหนังสือเล่มนี้ไว้อ่านระหว่างเดินทางท่องเที่ยวทริปนี้ก็เป็นความคิดที่เข้าท่าดีเหมือนกัน

Sun Voyager ประติมากรรมชื่อดังของเมือง

ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองหลวงทางเหนือสุดของโลกกันแล้ว เมืองเรคยาวิกมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เมืองหลวงพึงจะมี ร้านอาหารหรูหราไฟน์ไดนิ่ง โรงละคร พิพิธภัณฑ์ อาหารแนวสตรีทฟู้ดแสนอร่อย สระว่ายน้ำ ร้านค้า ห้างขนาดใหญ่ บาร์ คาเฟ่ โรงภาพยนตร์ สวนสาธารณะ และมิวสิคฮอลล์ และในวันที่สิบสี่นี้คุณอาจจะดีใจที่ได้เปลี่ยนบรรยากาศจากป่าเขาและธรรมชาติของไอซ์แลนด์มาสวมชุดว่ายน้ำ (ถ้าคุณมี) ว่ายน้ำเล่นให้สนุก จากนั้นค่อยออกไปเดินเล่นตามถนนในเมืองกันบ้าง

เมื่อคุณมาถึงที่เรคยาวิกแล้วก็ไม่ต้องแปลกใจที่คุณอาจจะต้องเปลี่ยนแผนไปมาเพราะที่นี่มีอะไรให้ดูและให้ทำมากมายเหลือเกิน เช่นเดินเล่นตามห้างร้าน เลือกซื้อของฝาก เสื้อผ้าขนสัตว์ หรือไปชมพิพิธภัณฑ์และแกลเลอรี่ที่มีอยู่มากมายในเขตดาวน์ทาวน์ 101

ที่นี่มีกิจกรรมสำหรับคนทุกประเภท เช่น พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ (The National Museum) ที่จัดแสดงประเพณีและมรดกตกทอดของชาวไอซ์แลนด์ และมีสื่อจำลองและสื่ออินเทอแรคทีฟเพื่อการศึกษามากมาย แต่ถ้าคุณไม่ชอบอะไรทำนองนี้ บางทีพิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Reykjavík Art Museum) ที่จัดแสดงผลงานชั้นยอดของศิลปินชาวไอซ์แลนด์และนานาชาติอยู่ใน 3 จุดทั่วเมืองอาจจะเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับคุณ

สถานที่สุดท้ายคือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มีชีวิตที่จัดขึ้นกลางแจ้งที่เอาร์ไบยาซาฟ์น (Árbæjarsafn outdoor living-history museum) ที่นี่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1957 และมีสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิถีชีวิตของผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ไอซ์แลนด์และผู้ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากเพื่อเอาตัวรอดในยุคแรกเริ่มของไอซ์แลนด์

วันที่ 15: เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ     

เรามาถึงวันสุดท้ายของทริปแล้ว ซึ่งถ้าคิดเป็นระยะทางที่เดินทางด้วยรถแคมป์เปอร์ก็มากกว่า 1,300 กิโลเมตรทีเดียวที่คุณได้รู้จักและเพลิดเพลินกับสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ มากมายที่ไอซ์แลนด์มี ถ้าคุณโชคดีได้เที่ยวบินที่ออกเดินทางช่วงเย็นหน่อย คุณสามารถไปแช่น้ำร้อนก่อนบอกลาไอซ์แลนด์ที่บลูลากูน (Blue Lagoon) ก่อนก็ได้ มาถึงตอนนี้เชื่อว่าทุกคนคงคุ้นชินกับการผ่อนคลายในสระน้ำอุ่นของไอซ์แลนด์กันแล้ว ดังนั้นถ้าได้ไปอีกสักรอบส่งท้ายก่อนขึ้นเครื่องบินกลับบ้านก็คงจะดีไม่น้อย

ถ้าคุณอยากเพิ่มจำนวนวันที่อยู่ที่ไอซ์แลนด์ นั่นไม่ใช่ปัญหาเลยคุณสามารถแจ้งให้เราทราบแล้วเราจะช่วยจัดการให้ ขอให้ทุกคนเที่ยวให้สนุกและปลอดภัยครับผม!

น้ำตกกุลล์ฟอสส์ หนึ่งในสถานที่เที่ยวบนวงกลมทองคำ เป็นน้ำตกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไอซ์แลนด์

บทความที่ได้รับความนิยม

Link to appstore phone
ติดตั้งแอปท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์

ดาวน์โหลดตลาดการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ลงในโทรศัพท์ของคุณเพื่อจัดการการเดินทางทั้งหมดของคุณได้ในที่เดียว

สแกนรหัส QR นี้ด้วยกล้องในโทรศัพท์ของคุณแล้วกดลิงก์ที่ปรากฏขึ้นเพื่อเพิ่มตลาดการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ไว้ในกระเป๋าของคุณ เพิ่มหมายเลขโทรศัพท์หรือที่อยู่อีเมลของคุณเพื่อรับ SMS หรืออีเมลพร้อมลิงก์ดาวน์โหลด